xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวดี-ข่าวร้าย!!!

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย และนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี</b>
วันนี้...คงต้องชวนไปฟัง “ข่าวดี” และ “ข่าวร้าย” ในระดับโลก ที่ดันอุบัติขึ้นมาในช่วงใกล้ๆ กัน จนแทบไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรร้าย ไอ้ที่ร้ายจะกลายเป็นดี หรือไอ้ที่ดีจะกลายเป็นร้าย หรือไม่ อย่างไร ก็ยังมิอาจสรุปได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ได้ก่อให้เกิดความปวดเศียรเวียนเกล้า ต่อผู้ที่ต้องเกิดมาร่วมโลกกับผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ชนิดมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...

สำหรับ “ข่าวดี” นั้น...ก็คงเป็นข่าวว่าด้วยเรื่อง “สงครามการค้า” ระหว่างจีนกับอเมริกา ที่ต่างฝ่ายต่างลุกขึ้นมาใส่กันและกันแบบดอกต่อดอก จนทำให้ไม่เพียงแต่ละฝ่ายอาจต้อง “ฉิบหาย” ไปด้วยกันทั้งคู่ ยังอาจฉุดลากกระชากถูให้โลกทั้งโลก พลอยต้องฉิบหายตามไปด้วย แต่เมื่อช่วงวันเสาร์ (19 พ.ค.) ที่ผ่านมา หลังจากส่งตัวแทนไปเจรจากันรอบแล้ว รอบเล่า ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูจะคลี่คลายออกไปทาง “แฮปปี้เอนดิ้ง” หรือเกิดการบรรลุข้อตกลงแบบ “win-win” ไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย ตามแถลงการณ์ร่วมที่มี “นายหลิว เหอ” (Liu He) รองนายกรัฐมนตรีจีน และ “นายสตีเวน มนูชิน” (Steven Mnuchin) รัฐมนตรีคลังอเมริกา ได้ให้คำรับรองด้วยกันทั้งสองฝ่าย ว่าจะ “ยุติสงครามการค้า” ลงไปชั่วคราว หลังจากจีนพร้อมจะช่วยลดการขาดดุลการค้าของอเมริกา ด้วยการซื้อสินค้าอเมริกันเพิ่มในด้านต่างๆ ขณะที่อเมริกาก็ไม่คิดจะตั้งกำแพงภาษีแต่เฉพาะสินค้าจีนอีกต่อไปแล้ว...

แต่ขณะที่โลกทั้งโลก...พลอยได้ถอนหายใจคล่องปอด คล่องคอขึ้นมามั่ง บรรยากาศทางการค้าระหว่าง “อเมริกากับยุโรป” กลับออกไปทางตรงกันข้าม หรือหนักไปทาง “ข่าวร้าย” อย่างเห็นได้โดยชัดเจนหลังจากที่รัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ตัดสินใจถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน (JCPOA) และได้ขีดเส้นตายให้บรรดาบริษัทธุรกิจทั้งหลายในยุโรป ที่ทำการค้ากับอิหร่าน ให้เร่งถอนตัวออกมาภายในช่วงระยะเวลา 3-6 เดือน แถมยังขู่ว่าจะลงโทษบริษัทใดก็ตาม ที่คิดไปเซ็นข้อตกลงทางการค้าใหม่กับอิหร่าน ภายหลังจากที่อเมริกาได้ประกาศแซงชั่นรอบใหม่ต่ออิหร่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรียกว่า...เล่นเอานักการเมืองอังกฤษอย่าง “นายเคน ลิฟวิงสโตน” (Ken Livingstone) หัวหน้าคณะผู้บริหาร “Greater London Council” (GLC) ถึงกับต้องออกมาสรุปว่า... “นี่แทบไม่ต่างอะไรไปจากสงครามการค้า ที่เราไม่ควรอดทนอีกต่อไป ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลอเมริกันที่พยายามชี้นิ้วให้เราต้องทำการค้ากับใคร เพราะนี่คือสิ่งที่มิอาจยอมรับได้อย่างแท้จริง” ...

ไม่ต่างไปจากรัฐมนตรีเศรษฐกิจฝรั่งเศส “นายบรูโน เลอ แมร์” (Bruno Le Maire) ที่ตั้งคำถามเอาไว้ระหว่างให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุ “Europe 1” เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (20 พ.ค.) ที่ผ่านมาว่า... “เราจะอนุญาตให้รัฐบาลอเมริกันทำตัวเป็นตำรวจเศรษฐกิจโลกอีกต่อไปหรือ...คำตอบก็คือ...ไม่...โดยเด็ดขาด” แถมยังเรียกร้องให้บรรดาประเทศในยุโรปทั้งหลาย หันไปรื้อฟื้นเหตุการณ์ช่วงที่อเมริกาเคยแซงชั่นคิวบา ช่วงปี ค.ศ. 1996 กลับมาทบทวนกันใหม่ เพื่อเปิดช่องให้บริษัทธุรกิจต่างๆ ในยุโรป สามารถเรียกร้องเงินค่าเสียหาย หรือค่าชดเชยจากอเมริกา ที่ทำให้ผลประโยชน์ของตัวเองต้องสูญเสียเพราะการแซงชั่นเหล่านี้ไปด้วย โดยเฉพาะบรรดาบริษัทยักษ์ๆ ของฝรั่งเศส ไม่ว่าบริษัทผลิตเครื่องบิน Airbus บริษัทน้ำมัน Total บริษัทผลิตรถยนต์ Peugeot และ Renault ฯลฯ ที่ต่างต้องเจอกับผลกระทบชนิดระเนนระนาดกันไปหมด...

บริษัทน้ำมัน Total นั้น...ถึงขั้นขนหัวลุก ทำท่าว่าจะถอดใจออกประกาศเมื่อวันพฤหัสฯ (17 พ.ค.) ที่ผ่านมาว่า อาจต้องถอนตัวจากการลงทุนมูลค่าประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ ในการเข้าไปถือหุ้นบริษัทสำรวจแหล่งแก๊ส South Pars ในอิหร่าน จำนวนถึง 50.1 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่บริษัท CNPC (China National Petroleum Corporation) ของจีนที่เคยถือหุ้นอยู่แค่ 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ ประกาศว่าพร้อมจะ “เหมาหมด” หรือพร้อมเข้าไปแทนที่บริษัท Total โดยไม่ต้องสนใจข้อตกลงว่าด้วยการ “ยุติสงครามการค้า” กับสหรัฐฯ เอาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น...ไอ้ที่สรุปกันว่า “win-win” มันเลยออกไปทาง “วินมอเตอร์ไซค์” หรือไม่ อย่างไร ก็ยังมิอาจสรุปได้...

ยิ่งเยอรมนีนั้น...ยิ่งอาจหนักกว่าใครเพื่อน เพราะไม่เพียงแต่การ “แซงชั่นอิหร่าน” ทำให้มูลค่าการค้าระหว่างเยอรมนี-อิหร่านที่เพิ่มพรวดพราดขึ้นมาถึง 50 เปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 เป็นต้นมามีสิทธิ์หายวับไปกับตาเอาง่ายๆ การ “แซงชั่นรัสเซีย” นับตั้งแต่กรณีวิกฤตยูเครนปี ค.ศ. 2014 ที่ถูกคุณพ่ออเมริกาพยายามยกระดับขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงขั้นส่งผลกระทบต่อโครงการท่อแก๊ส “Nord Stream 2” หรือโครงการจัดส่งแก๊สจากรัสเซียมายังเยอรมนีโดยตรง หรือทำให้เยอรมนีต้องถูกบีบบังคับให้หันไปซื้อแก๊สจากบริษัท “American LNG” ของอเมริกา ที่แพงกว่าแก๊สรัสเซียถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์ ย่อมทำให้บรรดาชาวเยอรมันทั้งหลาย ออกอาการ “รับไม่ได้” โดยเด็ดขาด ชนิดที่ผลสำรวจของสำนักวิจัย “Forsa Institute” เมื่อไม่นานมานี้สามารถใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ ยืนยันให้เห็นโดยชัดเจนว่า “ชาวเยอรมันถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ต้องการมีสัมพันธภาพที่ดีกับรัสเซีย” หรือไม่ได้คิดจะ “บ้าตาม” คุณพ่ออเมริกาอยู่แล้วแน่ๆ...

และอาจเป็นด้วยเหตุนี้...ที่ทำให้ผู้นำเยอรมนี “นางแองเกลา แมร์เคิล” ตัดสินใจเดินทางไปเยือนรัสเซีย ไปพูดคุยเจรจา จับเข่า จับหัวเหน่ากับประธานาธิบดี “ปูติน” ของรัสเซีย ที่เมืองโซชิ ริมฝั่งทะเลดำ เมื่อช่วงวันศุกร์ (18 พ.ค.) ที่ผ่านมา ขณะที่บรรดาผู้นำ EU แทบทั้งแผง ต่างรุมก่นด่า ประณาม ตำหนิรัฐบาลอเมริกันอย่างชนิดสาดเสียเทเสียระดับประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป อดีตนายกฯ โปแลนด์ อย่าง “นายโดนัลด์ ตุสก์” (Donald Tusk) ถึงกับเอ่ยเป็นวาทะเอาไว้คมคายเอามากๆ นั่นก็คือคำพูดที่ว่า... “ถ้าหากมีพันธมิตรอย่างสหรัฐฯ แล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปวิ่งหาศัตรูที่ไหนอีก” เรียกว่า...ออกอาการ “หัวร้อน” ไปทั่วทั้งยุโรปเอาเลยก็ว่าได้...

อันนี้นี่แหละทั่น...ที่แทบสรุปไม่ได้ว่า ระหว่าง “ข่าวดี” กับ “ข่าวร้าย” สุดท้ายแล้ว...อะไรมันจะดี จะร้าย ร้ายกลายเป็นดี หรือดีกลายเป็นร้ายกันแน่!!! ด้วยเหตุเพราะ “ทรัมป์บ้า” ดันเผอิญเกิดขึ้นมาร่วมโลกกับบรรดาเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลาย แถมยังถูก “ปวงชนอเมริกา” โหวตให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ตาม “ระบอบประชาธิปไตย” ซะอีกต่างหาก อันเป็นระบอบที่มักเป็นไปตามคำพูดข้อสมมติฐานของ “ท่านพุทธทาสภิกขุ” อภิมหาพระบ้านเรานั่นแหละ ซึ่งเคยย้ำหนักย้ำหนา เอาไว้ว่า... “ประชาธิปไตยที่ว่าของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชนนั้น ใช้ได้แต่เฉพาะประชาชนที่มีธรรมเท่านั้น แต่ถ้าประชาชนไม่มีธรรม มันย่อมต้องกลายเป็นประชาธิป...ตาย เท่านั้นเอง...”


กำลังโหลดความคิดเห็น