เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องบินย้อนกลับไปแถวๆ คาบสมุทรเกาหลีกันอีกซักรอบนั่นแหละทั่น ด้วยเหตุเพราะบรรยากาศการเจ๊าะแจ๊ะ เจรจาสันติภาพและการปลดอาวุธนิวเคลียร์ระหว่าง “คิมน้อย” กับ “ทรัมป์บ้า” ที่เคยทำท่าว่าจะไหลลื่น ชนิดส่งผลให้สมาชิกพรรครีพับลิกันบางราย พลอย “บ้า” ตามไปด้วย คือถึงขั้นคิดจะเสนอชื่อ “ทรัมป์บ้า” เข้าชิงรางวัลโนเบล ไพรซ์ เพื่อสันติภาพเอาเลยถึงขั้นนั้น แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็เกิดรายการฮึดๆ ฮัดๆ กั๊กไป-กั๊กมา หลังจากฝ่ายเกาหลีเหนือได้อ้างถึงการ “ซ้อมรบ” ระหว่างอเมริกากับเกาหลีใต้ เป็นประเด็นที่ทำให้ “คิมน้อย” ชักไม่อยากเจอหน้า “ทรัมป์บ้า” ขึ้นมาซะแร้นน์น์น์...
ซึ่งอันที่จริงแล้ว...นอกเหนือไปจาก “ข้ออ้าง” ที่ว่า คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า บรรยากาศการเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่ายมันไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อการจับเข่า จับหัวเหน่ามากมายซักเท่าไหร่ และคงไม่ใช่เป็นเพราะฝ่าย “คิมน้อย” เปลี่ยนไป-เปลี่ยนมาหรือชอบออกอาการชักเข้า-ชักออก เหมือนอย่างที่บรรดาสำนักข่าวตะวันตก พยายาม “สร้างภาพ” ให้เป็นไปเช่นนั้น แต่น่าจะเป็นเพราะฝ่าย “ทรัมป์บ้า” หรือคุณพ่ออเมริกานั่นแหละ ที่ไม่เพียงแต่ไม่ได้คิดจะสร้างบรรยากาศต่างๆ ให้เอื้ออำนวยต่อการเจรจา แต่กลับเป็นตัว “ทำลายบรรยากาศ” ต่างๆ ให้ออกไปทางเสียเรื่อง เสียเวลา ที่จะเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ กันอย่างจริงจังและจริงใจ...
ไม่ว่ากรณีที่รัฐบาลอเมริกันยุค “โอมาบา” เคยเจรจากับอิหร่าน จนได้ผลยุติเป็น “ข้อตกลง JCPOA” (Joint Comprehensive Plan of Action) ว่าด้วยยุติการพัฒนานิวเคลียร์แลกกับการเลิกแซงชั่นอิหร่าน โดยมีประชาคมระหว่างประเทศอีกถึง 5 ชาติร่วมลงนามรับรองกันอย่างเป็นมั่น เป็นเหมาะ แต่พอมาถึงยุค “ทรัมป์บ้า” เท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็กลายเป็น “กระดาษเช็ดก้น” ไปโดยทันที ดังนั้น...ในเมื่อขนาดนี้ยังเป็นขนาดนั้น แล้วถ้าหากขนาดนั้นจะเป็นขนาดไหน กรณีข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน จึงแทบไม่ต่างไปจาก “ตัวอย่าง” ที่สะท้อนให้เห็นว่าการตกลงเจรจาใดๆ กับประเทศอย่างสหรัฐอเมริกานั้น ยากซ์ซ์ซ์ที่จะยึดมั่น ถือมั่น เป็น “หลักประกัน” ใดๆ ได้เลยแม้แต่น้อย...
ยิ่งไปกว่านั้น...การที่ที่ปรึกษาสภาความมั่นคงแห่งชาติรายใหม่ อย่าง “นายจอห์น โบลตัน” ได้ไปออกทีวีพ่นแมงโม้กระจัดกระจาย ทำนองว่า...กรรมวิธีในการแก้ปัญหาเกาหลีเหนือ ควรต้องใช้วิธีแบบที่เรียกว่า “ลิเบียโมเดล” ซะอีกต่างหาก หรือสรุปง่ายๆ ว่า คือวิธีที่เมื่อหาทางหลอกล่อให้ลิเบียยุติการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ลงไปได้แล้ว ก็ได้เวลาหันกลับไปถล่มฆ่า “กัดดาฟี” ฉีกประเทศลิเบียออกเป็นชิ้น จนต้องกลับไปสู่ “ยุคทาส”อะไรประมาณนั้น แม้ว่า “ทรัมป์บ้า” จะออกมา “แก้ข่าว” หรือมาให้หลักประกันในภายหลัง แต่ก็อย่างว่า...ใครที่ดันไปเชื่อ “ทรัมป์บ้า” ย่อมต้องออกลูกเป็นลิงอย่างไม่พึงต้องสงสัย หนักยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ถ้าว่ากันตามรายงานของสำนักข่าวญี่ปุ่นอย่าง “อาซาฮี ชิมบุน” ที่ระบุว่ารัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ คนใหม่ “นายไมค์ ปอมเปโอ” ถึงกับควักเอาข้อเรียกร้อง ให้เกาหลีเหนือต้องขจัดเครื่องมืออุปกรณ์ทุกๆ ชนิดในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ใส่เรือออกไปทิ้งจากคาบสมุทรเกาหลีภายใน 6 เดือน ไม่งั้น...ย่อมไม่มีหลักประกันใดๆ ให้ อันนี้...ยิ่งเท่ากับขออนุญาตมัดมือ มัดตีนเอาไว้ก่อนล่วงหน้า หรือก่อนที่จะเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ พูดคุยเจรจาเอาเลยก็ว่าได้...
ด้วยเหตุนี้...จึงถือเป็นเรื่องไม่แปลกที่เกาหลีเหนือ เขาต้องออกอาการ “ผงะ” อยู่บ้างเป็นธรรมดา หรือต้องหันมาทบทวนว่าจะยอมลงทุนไปนั่งในโต๊ะเจรจาระหว่าง “คิมน้อย” กับ “ทรัมป์บ้า” ที่สิงคโปร์ ในวันที่ 12 มิถุนายน ที่จะถึงกันดีหรือไม่ เพราะแม้ว่าสัมพันธภาพที่ดีวัน-ดีคืน ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ จะช่วยให้บรรยากาศสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี ทำท่าว่าจะอยู่ห่างไปอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล แต่ดูเหมือนว่า...สันติภาพดังกล่าว กลับกลายเป็น “ของแสลง” สำหรับอเมริกาอย่างเห็นได้โดยชัดเจน เพราะอย่างที่เคยว่าๆ เอาไว้แล้วนั่นแหละว่า ถ้าหากเมื่อไหร่ที่เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้หันกลับมาเป็นพี่ เป็นน้องกันอย่างจริงจังและจริงใจ ก็แทบ “ไม่มีความจำเป็น” ใดๆ ที่จะต้อง “ซ้อมรบ” ต้องคงบทบาททหารอเมริกันจำนวนนับหมื่นๆ เอาไว้ในคาบสมุทรเกาหลีต่อไปอีก ไม่จำเป็นจะต้องมี “ระบบป้องกันขีปนาวุธบนพิกัดตำแหน่งสูง” หรือ “THADD” เอาไว้ในเกาหลีใต้ ที่ไม่เพียงแต่เอาไว้ป้องกันขีปนาวุธของเกาหลีเหนือเท่านั้น แต่ยังสามารถเอาไว้ใช้ปกป้อง หรือแม้กระทั่งโจมตีต่อขีปนาวุธของทั้งรัสเซียและจีนได้อีกต่างหาก...ฯลฯ ฯลฯ...
พูดง่ายๆ ว่า...ผู้ที่ไม่อยากให้เกิด “สันติภาพ” ขึ้นมาในคาบสมุทรเกาหลี เอาเข้าจริงๆ แล้ว...ก็คือคุณพ่ออเมริกานั่นเอง!!! บรรยากาศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเจรจาสันติภาพ มันจึงอุบัติขึ้นมาอย่างเป็นระลอกตามที่กล่าวไปแล้ว ด้วยประการละฉะนี้ แต่ก็นั่นแหละ...ท้ายที่สุดแล้ว “กุญแจสำคัญ” ที่จะนำไปสู่สันติภาพหรือสงครามความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี ย่อมขึ้นอยู่กับบรรดา “พี่น้องตระกูลคิม” ทั้งหลายนั่นเอง ว่าจะจริงจัง จริงใจต่อการผลักดันให้สิ่งเหล่านี้อุบัติขึ้นมาในแนวไหน อย่างไร ดังนั้นสิ่งที่น่าจับตาซะยิ่งกว่าการพบปะเจรจาระหว่าง “คิมน้อย” กับ “ทรัมป์บ้า” ในเดือนมิถุนายนที่จะถึง ก็จึงขึ้นอยู่กับว่า ผู้ที่อาสาเป็น “กาวใจ” ให้การเจรจาครั้งนี้กลับมาสู่บรรยากาศเดิมๆ ให้จงได้ นั่นก็คือประธานาธิบดี “มุน แจอิน” ของเกาหลีใต้ ที่จะเดินทางไปพบปะกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันพรุ่งนี้ หรือวันที่ 22 พฤษภาคม จะสามารถเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวให้ “ทรัมป์บ้า” หายบ้าลงไปได้ขนาดไหน เกิดแรงกระตุ้น แรงจูงใจ ต่อการได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบล ไพรซ์สันติภาพ จนเลิกบ้าไปได้ชั่วคราว หรือไม่ อย่างไร...
อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องจับตากันอย่างเป็นพิเศษ ว่าอดีตนักศึกษาที่เคยถูกจับกุมคุมขัง โดยพวก “เผด็จการฝ่ายขวา” ในเกาหลีใต้ หรือพวก “สมุนอเมริกา” ในอดีต อดีตที่ปรึกษาและเพื่อนสนิทของอดีตผู้นำเกาหลีใต้อย่าง “นายโรห์ มู-ยุน” ผู้มุ่งมาดปรารถนาจะรวมสองเกาหลีให้กลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตามแนวนโยบาย “ตะวันฉาย” อย่าง “นายมุน แจอิน” ประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนปัจจุบัน จะมีฤทธิ์มีเดช มีศิลปะในการโน้มน้าวให้ “คนบ้า” เลิกบ้าชั่วคราวลงไปได้ถึงขั้นไหน???