“สุรวิชช์ วีรวรรณ”
“หนึ่งความคิด”
หากย้อนไปในอดีตสมัย นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีสองสมัยนั้นผมเป็นคอลัมนิสต์คนหนึ่งที่วิพากษ์วิจารณ์นายชวนในฐานะบทบาทของนายกรัฐมนตรีมาก แต่ผมก็ไม่ได้เกลียดหรือชิงชังอะไร เมื่อเจอกันในครั้งหลังผมก็ยกมือไหว้และแนะนำตัวเอง ด้านหนึ่งเพราะนายชวนไม่ได้เป็นนักการเมืองที่ชั่วร้ายอะไร
แต่การเป็นคนดีไม่ได้หมายความว่า นายชวนจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดี
ผมเชื่อว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีของนายชวนนั้น เป็นแรงขับเคลื่อนที่เป็นเชื้อเพลิงให้ทักษิณพุ่งทะยานเมื่อตั้งพรรคไทยรักไทย เพราะเมื่อนายชวนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2หลังล้มเหลวสมัยแรกด้วยเรื่องอื้อฉาว สปก.4-01จากฝีมือของ สุเทพ เทือกสุบรรณ แล้ว
นายชวนกลายเป็นนายชวน เชื่องช้า ที่คนเขาล้อเลียนกันเรื่องยังไม่ได้รับรายงาน และเป็นเพียงปลัดประเทศที่ออกมาขับเคลื่อนประเทศให้เดินไปตามกลไกของระบบราชการเท่านั้น เมื่อทักษิณเปิดตัวมาในฐานะคนหนุ่มที่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจ มีนโยบายที่เป็นรูปธรรม คนจึงเฮไปเลือกทักษิณกันถล่มทลาย มีส่วนไม่น้อยเลยถ้าจะพูดว่าชัยชนะของทักษิณมาจากการถูกนำไปเปรียบเทียบกับบทบาทของนายชวนในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ผู้คนกำลังเบื่อหน่ายนั่นเอง
พูดได้ว่าความเป็นแบบชวน เชื่องช้าที่ยังไม่ได้รับรายงานนั่นแหละที่เป็นตัวหนุนเสริมความโดดเด่นของทักษิณ
ยุคสมัยของนายชวนนั้นแทบมองไม่เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล แนวคิดที่จะนำพาประเทศไปข้างหน้า เพราะการเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นไม่ใช่ว่าจะมีภาพเป็นคนซื่อสัตย์มือสะอาดไม่โกงไม่กินก็เพียงพอแล้ว
เมื่อไม่นานมานี้นายชวนออกมาขอบคุณรัฐบาลทหารที่เจียดงบไปพัฒนาถนนภาคใต้ และกระทบชิ่งว่ารัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์ไม่เคยให้งบประมาณมาลงที่ภาคใต้เลย แม้ว่านั่นจะเป็นเรื่องจริง แต่มันก็ชวนให้มีคำถามเหมือนกันว่า ประชาธิปัตย์ก็เคยเป็นรัฐบาลหลายสมัย และภาคใต้มีส.ส.ประชาธิปัตย์แบบผูกขาดมาตลอด แต่คนทั่วไปที่ใช้รถใช้ถนนพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า ถนนภาคใต้นั้นแย่ที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ ซึ่งจะมาโทษรัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์แต่ฝ่ายเดียวก็ไม่น่าจะได้
มันต้องโทษพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าใครนั่นแหละ การพูดแบบนี้จึงเป็นการสะกิดแผลตัวเองเสียมากกว่า
และเป็นเรื่องตลกมากเมื่อ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียในวัย92 ปี ก็มีเสียงเรียกร้องว่า นายชวนที่มีอายุน้อยกว่ามหาเธร์มากก็ควรจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้
แน่นอนมหาเธร์เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งที่กลายเป็นรัฐบุรุษของมาเลเซีย แต่การเมืองที่แทบจะเรียกว่าผูกขาดพรรคเดียวของมาเลเซียนั้นอาจเป็นตัวช่วยให้มหาเธร์ทำอะไรได้มากกว่าเพราะมีเสถียรภาพทางการเมือง แต่ที่สำคัญก็คือมหาเธร์นั้นเขามีวิสัยทัศน์ด้วย สามารถนำพาประเทศมาเลเซียจากประเทศกำลังพัฒนายกระดับขึ้นมาเป็นประเทศพัฒนาแล้วแบบที่เหนือกว่าไทยมาก
แม้จะมีคำถามเหมือนกันว่า มหาเธร์เป็นนักประชาธิปไตยหรือไม่นอกเหนือการมาจากการเลือกตั้ง เพราะเขาก็ใช้อำนาจอย่างไม่บันยะบันยังในการกำจัดคู่แข่งทางการเมือง ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็คล้ายๆ กับการบอกว่าทักษิณเป็นฝ่ายประชาธิปไตยในความหมายแค่มาจากการเลือกตั้งนั่นแหละ
การกลับมาของมหาเธร์ ด้านหนึ่งจึงมีคนบอกว่าเป็นการกลับมาล้างบาปจากมรดกที่ตัวเองสร้างเอาไว้ และลบล้างความผิดที่ทำไว้กับ อันวาร์ อิบราฮิม ที่ถูกเขาจับเข้าคุกในข้อหาลักร่วมเพศซึ่งถูกมองว่าเป็นการขจัดขวากหนามทางการเมือง ซึ่งต้องดูกันต่อไปยาวๆ ว่าจะเป็นไปอย่างที่คาดการณ์กันไหมเมื่อมหาเธร์มีโอกาสกลับมาอีกครั้ง
แต่ต้องยอมรับว่ามหาเธร์เป็นคนมีวิสัยทัศน์และมีความสามารถอย่างเอกอุ ไม่นั้นมาเลเซียคงยกระดับมาเป็นประเทศอุตสาหกรรมสมัยใหม่ในยุคสมัยที่มหาเธร์เป็นผู้นำไม่ได้ และวันนี้ก็ก้าวหน้ากว่าประเทศไทยในแทบทุกด้าน ซึ่งเมื่อเทียบกับชวนแล้วมองไม่เห็นนอกจากภาพของนายชวนที่ถูกมองว่าเป็นคนซื่อสัตย์มือสะอาด แต่การนำประเทศชาติในยุคนี้มันต้องการมากกว่านั้น และพิสูจน์ผ่านบทบาทของนายชวนมาแล้วสองสมัยว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย
พูดกันอย่างไม่ต้องเกรงใจว่า ไม่มีอะไรที่นายชวนจะไปเปรียบเทียบกับมหาเธร์ได้เลย จึงสงสัยว่า การบอกว่ามหาเธร์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีในวัย92ปีได้ นายชวนก็กลับมาเป็นได้นั้นเปรียบเทียบกันด้วยเหตุผลอะไรนอกจากเรื่องอายุที่มองว่าแม้อายุมากแล้วก็กลับมาเป็นนายกฯ ได้
แต่ผมเข้าใจระบบเลือกตั้งแบบใหม่นะครับ เห็นสื่อบางสำนักไปเขียนข่าวทำนองว่า นายชวนหมดหวังเพราะไม่น่าจะได้เป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ที่ไม่เข้าใจโครงสร้างของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่คนที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องเป็นหัวหน้าพรรค แต่ให้พรรคการเมืองเสนอชื่อคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ 3คน ตามรัฐธรรรมนูญ2560 มาตรา 88
เพียงแต่การเสนอชื่อได้พรรคการเมืองนั้นต้องได้รับการยินยอมจะเจ้าตัวด้วยและต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน พรรคที่จะเสนอชื่อต้องมีเสียงไม่น้อยกว่า25เสียง ขณะที่การเสนอชื่อใครเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องมี ส.ส.ในสภาฯรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของ ส.ส.ทั้งหมดด้วย
ดังนั้นไม่แปลกหรอกครับที่พรรคประชาธิปัตย์อาจจะเสนอชื่อนายชวนเป็น1ใน3ของผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ครบโควต้าในการหาเสียงเลือกตั้งเท่านั้นเอง เพราะเมื่อมองพรรคประชาธิปัตย์วันนี้แทบจะมองไม่เห็นสิ่งใหม่ที่จะนำเสนอต่อประชาชน อาจเพราะวันนี้รัฐบาลทหารยังปลดล็อกให้ทำกิจกรรมได้ แต่ก็ยังมองไม่เห็นว่าจะมีคนใหม่ๆเ ข้ามาเสริมนอกจากความพยายามขายคนหนุ่มอย่าง ไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ์ เท่านั้นเอง
แต่ผมไม่ได้มองประชาธิปัตย์ในแง่ร้ายทั้งหมด ผมออกจะชื่นชม อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคที่มีจุดยืนชัดเจนว่า จะไม่สนับสนุนคนนอกเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีความต้องการจะกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งหลังเลือกตั้งนั้นจะต้องลงมาเล่นในระบบคือ อาจจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเสนอชื่อโดยพรรคใดพรรคหนึ่งซึ่งวันนี้ชัดเจนว่าจะเป็นไปในแนวทางนี้
วันนี้พรรคประชาธิปัตย์พูดชัดเจนว่า ส.ส.ของพรรคต้องสนับสนุนคนที่พรรคเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ในทางการเมืองนั้นมีการแข่งขันหากพรรคที่เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วสามารถมี ส.ส.เข้าสภามากกว่าพรรคประชาธิปัตย์แล้วต้องร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลถึงตอนนั้นในฐานะที่มีเสียงน้อยกว่าพรรคประชาธิปัตย์อาจจะยกมือสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ใช่เรื่องผิดหลักการอะไร
มองไปข้างหน้าแม้ว่าพรรคเพื่อไทยน่าจะมี ส.ส.อยู่ที่ระดับ200 เสียง แต่ 300 เสียงที่เหลือน่าจะสวิงมาทางอีกฝั่งมากกว่า ดังนั้นว่าไปแล้วการแข่งขันเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลผสมน่าจะเป็นการแข่งขันกันระหว่างพรรคของประยุทธ์ที่คนกำลังเรียกว่าพรรคพลังดูดกับพรรคประชาธิปัตย์ว่าใครจะได้เสียงมากกว่ากัน แล้วเอาคนที่พรรคนั้นเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีตามที่อภิสิทธิ์เองก็พูดเปิดทางไว้ทำนองว่าต้องรอดูผลการเลือกตั้งก่อน
ดังนั้น แทนที่พรรคประชาธิปัตย์จะมองว่าไม่มีโอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมาก แต่พรรคก็ควรจะสะท้อนให้เห็นความพร้อมที่จะพัฒนาและเติบใหญ่ไปข้างหน้าเพื่อแสดงให้เห็นว่า พรรคมีบุคคล มีศักยภาพและนโยบายที่จะนำพาประเทศในฐานะพรรคการเมืองหนึ่งที่เสนอตัวมารับใช้ประชาชน หากสามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ก็มีคนที่มีความสามารถพร้อมจะนำพาประเทศไปข้างหน้า ก็ควรจะนำเสนอชื่อคนที่มีความหวังมีศักยภาพ ไม่ใช่เสนอชื่อนายชวนเป็น1ใน3เพราะมีโควต้าให้เสนอชื่อได้ให้ครบ3คนไปอย่างนั้นเอง แล้วเอามาเปรียบกับการกลับมาของมหาเธร์ซึ่งเปรียบกันไม่ได้เลย
อย่างน้อยต้องเสนอตัวบุคคลที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับ พล.อ.ประยุทธ์ที่เขาเอาแน่ในฐานะตัวเลือกของพรรคการเมืองที่กำลังดูดนักการเมืองมาร่วมค่าย และโพลกำลังชูว่า อยากให้พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก คืออย่างน้อยพอเห็นตัวเลือกที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอ3คนแล้วมีคนอุทานว่า มันใช้ได้เลย หรือมีคนร้องว่า ต้องอย่างนี้สิ
แต่ถึงตอนนี้แม้ประชาธิปัตย์จะเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ที่ต้องลงแข่งขันในระบอบประชาธิปไตยแน่ แต่บอกตรงว่ายังไม่เห็นความพร้อมอะไรที่พรรคประชาธิปัตย์จะสร้างความโดดเด่นในการลงแข่งขันได้เลยทั้งนโยบายและตัวบุคคล พอยิ่งมาจุดประเด็นนายชวนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีแบบมหาเธร์ด้วยแล้ว มันเป็นตรรกะที่ด้วนมาก คล้ายกับการสิ้นไร้ไม้ตอกของพรรคประชาธิปัตย์แล้วก็ว่าได้
นายชวนอาจจะเป็นคนดี นายชวนอาจจะเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต แต่การเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้วสองสมัยนั้นมันสะท้อนว่านายชวนยังมีศักยภาพไม่พอที่จะนำพาประเทศไปข้างหน้า เราไม่ต้องการปลัดประเทศในการบริหารบ้านเมืองที่ต้องการคนที่มีวิสัยทัศน์ทันยุคทันสมัยและรู้จักเลือกใช้คนที่มาร่วมงาน
และผมคิดว่าไม่เป็นผลดีต่อนายชวนเลยที่เหมือนกับถูกยกขึ้นไปบนหิ้งแล้วกลับถูกนำลงมาแห่แหนให้เปื้อนฝุ่นการเมืองอีก น่าจะอยู่เป็นผู้ใหญ่ที่ประคับประคองพรรคไปเพื่อเปิดโอกาสคนรุ่นหลังมากกว่า
ทั้งนี้ทั้งนั้น ข้อเสนอให้นายชวนกลับมาเป็นนายกฯ นั้นเป็นข้อเสนอของคนอื่น ไม่ได้มาจากนายชวนเอง ถึงเวลาท่านอาจจะปฏิเสธก็ได้
ผมไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีต่อนายชวนและพรรคประชาธิปัตย์ แต่มองด้วยความหวังว่า ประชาธิปัตย์จะใช้บทเรียนในอดีตเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อก้าวไปข้างหน้าในฐานะพรรคการเมืองเก่าแก่พรรคหนึ่งของประเทศ
คนในประชาธิปัตย์น่าจะรู้ดีกว่าผมที่มองจากข้างนอกว่าจะนำพาพรรคไปสู่หนทางที่ดีได้อย่างไร
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan