ทันทีที่มหาเธร์ โมฮัมหมัด ลากสังขารวัย 92 ปีมาล้มราจิบ ราซัค ลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีหลายฝ่ายพยายามเอามาเปรียบเทียบกับการเมืองบ้านเรา และมีความพยายามเอาชัยชนะทางการเมืองของมหาเธร์มาเชื่อมโยงกับการต่อสู้ของฝ่ายตัวเอง
ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า
“ไม่ว่าอำนาจ จะมีมากล้นเท่าไร จะยึดครอง หรือควบคุมการบริหารประเทศมายาวนานเพียงใด เหมือนที่พรรคอัมโนซึ่งเป็นพรรครัฐบาลที่ครองอำนาจมายาวนานนับหลายสิบปี แต่เมื่อถึงวันที่ประชาชนตัดสินใจเลือก หากคุณไม่ได้นั่งอยู่ในหัวใจประชาชน ไม่ได้บริหารประเทศ ตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชน เลือกตั้งจะเป็นวันที่พี่น้องประชาชน ตัดสินรัฐบาล”
“บทเรียนสำคัญที่ผู้มีอำนาจในประเทศ ควรได้พึงตระหนักก็คือ การใช้อำนาจอันไม่มีขีดจำกัด ที่ไม่คำนึงถึงความรู้สึก และความต้องการอันแท้จริงของพี่น้องประชาชน และไม่สามารถตอบสนองการแก้ปัญหาที่ประชาชนกำลังเผชิญอยู่ได้ เมื่อถึงวันที่ประชาชนได้รับโอกาสในการแสดงออก และตัดสินใจ ประชาชนจะตัดสินใจบนพื้นฐานความต้องการที่แท้จริงของพวกเขา”
แน่นอนว่า ย่อหน้าแรกภูมิธรรมต้องการกระทบชิ่งรัฐบาลทหารอย่างไม่ต้องสงสัย และแสดงความมั่นใจออกมาว่า หากสู้กันด้วยหีบเลือกตั้งแบบวันแมนวันโหวตแล้วพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งมาตลอดทศวรรษตั้งแต่ในนามของไทยรักไทย และพลังประชาชน ซึ่งคงต้องดูว่าเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นอย่างไร
แน่นอนถ้าเรายึดแต่สาระที่มาจากการเลือกตั้งมหาเธร์ก็มีที่มาเช่นเดียวกับทักษิณในการเข้าสู่อำนาจรัฐ แต่ราจิบก็มาจากการเลือกตั้งนะ ซึ่งผมมองว่าทักษิณก็คือราจิบนะไม่ใช่มหาเธร์
ส่วนย่อหน้าที่สองที่ภูมิธรรมเอ่ยขึ้นมานั้น ตรงที่บอกว่า “การใช้อำนาจอันไม่มีขีดจำกัด ที่ไม่คำนึงถึงความรู้สึก และความต้องการอันแท้จริงของพี่น้องประชาชน” นั้น มันอดไม่ได้เลยครับที่จะนึกถึงรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลยิ่งลักษณ์หรือระบอบการเมืองที่เรียกกันว่าระบอบทักษิณ
เพราะรัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์แม้จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนด้วยเสียงข้างมาก แต่เป็นรัฐบาลที่ฉ้อฉลการใช้อำนาจ (abuse of power) มากที่สุด
ไม่ต้องสาธยายเลยว่า รัฐบาลใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลอย่างไร หากได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดียึดทรัพย์สี่หมื่นกว่าล้านบาทนั้น ชัดเจนว่า ทักษิณได้ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตัวเองอย่างไรบ้าง ในระหว่างมีอำนาจทักษิณยังโยกย้ายข้าราชการโดยเอื้อประโยชน์แก่ญาติพี่น้องพรรคพวกโดยไม่คำนึงถึงหลักคุณธรรม
รวมทั้งยังแทรกแซงองค์กรอิสระ วุฒิสภาที่มีหน้าที่ตรวจสอบและคานอำนาจรัฐ รวมไปถึงการซื้อพรรคการเมืองเข้ามาควบรวมเพื่อให้มีเสียงในสภาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ส่วนอำนาจที่ฉ้อฉลของยิ่งลักษณ์ก็คือ การทุจริตจำนำข้าวจีทูจีปลอมเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง และที่สำคัญที่สุดคือ การพยายามใช้เสียงข้างมากลากไปเพื่อแก้กฎหมายล้มล้างความผิดให้ทักษิณ จนประชาชนลุกฮือออกมาชุมนุมบนท้องถนนเพราะเป็นหนทางเดียวที่จะหยุดการใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมได้
ราจิบนั้นไม่ต่างกับทักษิณเลย เขาถูกกล่าวหาว่าทุจริตคอร์รัปชันจำนวนมาก เขาถูกกล่าวหาว่าบริหารจัดการกองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลที่ชื่อว่า “1MDB” แล้วคอร์รัปชันโดยการยักย้ายถ่ายเทเงินของกองทุนกว่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าบัญชีเงินฝากส่วนตัวของตัวเอง รวมถึงการทุจริตอื่นๆ อีกมาก
ความเหมือนอีกอย่างของทักษิณกับราจิบคือ การถูกประชาชนเสื้อเหลืองออกมาชุมนุมขับไล่
ฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณอาจจะบอกว่า แม้ราจิบจะถูกกล่าวหาว่าทุจริตแต่ราจิบก็ไม่ได้ถูกกองทัพมาเลเซียถือปืนเข้ามายึดอำนาจแบบที่ทักษิณและยิ่งลักษณ์ถูกกระทำ ประชาธิปไตยควรต้องแก้ปัญหากันด้วยการเลือกตั้งแบบมาเลเซีย
แต่ที่เราไม่พูดคือการชุมนุมของเรานั้นต่างกับมาเลเซียตรงที่มีกองกำลังติดอาวุธคอยมายิงถล่มฝ่ายตรงข้าม มีการจัดมวลชนมาปะทะจนมีประชาชนบาดเจ็บและล้มตายจำนวนมาก ที่ร้ายกว่านั้นคือ ตำรวจไม่เคยทำคดีที่มีผู้ลอบยิงถล่มและปาระเบิดใส่ประชาชนฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้งเลย
ผมไม่ได้เกี่ยวพันกับ กปปส.นัก ทราบข่าวว่าคดีที่ถูกยิงถล่มมีบางคดีที่ถูกตั้งเป็นคดีและนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษบ้างแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทุกคดีถูกนำขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรมไหม แต่คดีของพันธมิตรฯ ที่ถูกยิงถล่ม ตำรวจไม่ตั้งคดีขึ้นมาเพื่อสอบสวนผู้กระทำผิดเลย ทั้งนี้เพราะตำรวจเป็นเครื่องมือของผู้ถืออำนาจรัฐมากกว่าจะอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน
การใช้อาวุธสงครามเข้ามาถล่มฝ่ายตรงข้ามโดยการหรี่ตาของอำนาจรัฐและการไม่อำนวยความยุติธรรมของตำรวจนี่เอง ที่เป็นเงื่อนไขที่ทำให้ทหารใช้เป็นเหตุผลสำคัญที่สุดในการยึดอำนาจ ดังนั้นถ้าจะพูดให้ถูกต้องว่าใครออกบัตรเชิญการรัฐประหารก็ต้องบอกว่า การใช้ความรุนแรงนั่นเอง
แต่หากถามว่า ทำไมไม่ตัดสินกันด้วยการเลือกตั้งแบบมาเลเซีย ฝ่ายสนับสนุนทักษิณอาจจะโจมตีว่าเพราะฝ่าย กปปส.ออกมาขัดขวางการเลือกตั้ง ทำให้ไม่สามารถใช้เสียงประชาชนในการตัดสินชะตากรรมของบ้านเมืองได้
ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ กปปส. แต่ในส่วนของพันธมิตรฯ นั้น ในวันที่นัดชุมนุมครั้งสุดท้ายนั้น เป็นที่รู้กันว่าอำนาจรัฐได้จัดมวลชนจำนวนหนึ่งลงมาเพื่อให้เกิดการปะทะกันซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ทหารเข้ามายึดอำนาจ ถ้าจะถามว่า ทำไมไม่เหมือนมาเลเซีย ก็ต้องถามว่า อำนาจรัฐมาเลเซียปล่อยให้มีการทำร้ายและใช้อาวุธสงครามกับผู้ชุมนุมขับไล่ไหม เท่าที่ติดตามข่าวก็ไม่มีนะครับ
ส่วนเหตุผลของ กปปส.นั้นเท่าที่ฟัง เขามองว่าระบบการเมืองที่เป็นอยู่นั้นมันไม่สามารถสร้างการเมืองที่ดีได้ เขาจึงเรียกร้องให้ปฏิรูปเสียก่อนและออกไปขัดขวางเพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้ง แต่เหตุสำคัญของการรัฐประหารก็คือ การใช้ความรุนแรงอย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างบนนั่นแหละ
แต่เมื่อรัฐบาลที่มีอำนาจรัฐทุจริตคอร์รัปชันหรือใช้อำนาจอย่างฉ้อฉล มันสามารถแก้ไขด้วยการเลือกตั้งได้ไหม คำตอบคือไม่ได้นะครับ สมมติผลที่ออกมาราจิบชนะมหาเธร์แปลว่า รัฐบาลราจิบไม่ได้คอร์รัปชันหรือไม่ได้ใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลเหรอ คำตอบก็ไม่ใช่นะครับ ดังนั้นที่สำคัญกว่าก็คือจะกำจัดรัฐบาลที่คอร์รัปชันและใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลให้พ้นจากเส้นทางของอำนาจอย่างไรนั่นต่างหาก
แต่สภาพก่อนที่ทหารจะอ้างเหตุเข้ามายึดอำนาจเราต้องยอมรับว่า สถานการณ์บ้านเรากำลังเดินไปสู่สิ่งที่เรียกว่ารัฐล้มเหลว เพราะรัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศได้อีกต่อไป ถ้าทหารไม่เข้ามาจัดการก็ไม่มีทางออกที่มากกว่านี้
นี่เป็นมุมมองของผมนะครับว่า แท้จริงแล้วราจิบก็คือทักษิณยิ่งลักษณ์นั่นแหละ แต่ถูกกำจัดให้พ้นจากเส้นทางของอำนาจด้วยวิธีต่างกันกับเราแต่เพื่อเป้าหมายเดียวกัน
มันเลยออกจะขำๆ อยู่บ้างที่คนเสื้อแดงบางคนพยายามออกมาโหนมหาเธร์ ทั้งที่ทักษิณและยิ่งลักษณ์นั้นใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลไม่ต่างกับราจิบเลย
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan