xs
xsm
sm
md
lg

ใกล้ถึงจุด “ไฟนรกสุดขอบฟ้า”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>จอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ คนใหม่</b>
และแล้ว... “ทรัมป์บ้า” ผู้นำสหรัฐฯ ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจน ว่า “บ้าจริง” ไม่ใช่ “บ้าเล่นๆ” ด้วยการ “เปิดกล่องแพนโดรา” (ตามสำนวนการอุปมา-อุปไมยของผู้นำฝรั่งเศส) ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน หรือข้อตกลง “JCPOA” (Joint Comprehensive Plan of Action) ที่รัฐบาลอเมริกันในยุค “โอมาบา” ได้ร่วมเซ็นสัญญากับอิหร่านและอีก 5 ชาติ อันประกอบไปด้วยอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี จีน และรัสเซีย ในช่วงปี ค.ศ. 2015 ชนิดเรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียนศรีธัญญาไปแล้ว เมื่อช่วงวันอังคารที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา หรือประมาณตีหนึ่งกว่าๆ ของวันพุธบ้านเรา...

แม้ว่าก่อนหน้านั้น...ผู้นำฝรั่งเศส รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ จะพยายามเดินทางไปเกลี้ยกล่อม “ทรัมป์บ้า” ให้พอหายบ้าขึ้นมามั่ง แต่ความพยายามใดๆ ก็ตาม ต่างก็ “เอาไม่อยู่” ไปด้วยกันทั้งสิ้นเพราะความบ้าของ “ทรัมป์บ้า” คราวนี้...ต้องเรียกว่า “บ้าอย่างเป็นระบบ” หรือ “บ้าอย่างเป็นกระบวนการ” หรือคงไม่ใช่แค่ความบ้าของตัวเองแต่เพียงลำพัง เนื่องจากถ้ามองถึงความเคลื่อนไหวของคณะผู้บริหารรัฐบาลอเมริกันมาก่อนหน้านั้น ไม่ว่าการประกาศรับรองกรุงเยรูซาเล็มในฐานะเมืองหลวงของอิสราเอล การร่วมลงนามข้อตกลงกับรัฐบาลอิสราเอลจัดตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อ “ต่อต้านภัยคุกคามจากอิหร่าน” ทุกรูป ทุกแบบ ทุกพื้นที่ในตะวันออกกลาง การแต่งตั้งให้ “นายจอห์น โบลตัน” นักการเมืองผู้โปรอิสราเอลแบบสุดลิ่มทิ่มกระดาน ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติคนใหม่ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นความเคลื่อนไหวที่สามารถนำมารองรับการตัดสินใจแบบ “บ้า...ก็...บ้าวะ” ของผู้นำสหรัฐฯ คราวนี้ได้ด้วยกันทั้งสิ้น...

และก็ไม่ใช่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ที่ผู้นำสหรัฐฯ พร้อมที่จะ “บ้า...ก็...บ้าวะ” ก่อนหน้านั้น...การตัดสินใจของอเมริกาในการ “ถอนตัวจากข้อตกลงที่กรุงปารีส” หรือข้อตกลงว่าด้วยการแก้ปัญหาโลกร้อน ไปจนการตัดสินใจ “ย้ายสถานทูตสหรัฐฯ ไปอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม” ต่างถือเป็นการแสดงออกของประเทศผู้นำมหาอำนาจสูงสุดในโลกอย่างอเมริกา ว่าพร้อมเสมอที่จะบ้า หรือพร้อมเดินหน้าไปตามความประสงค์ ความต้องการของตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องสนใจโลกทั้งโลกเอาเลยแม้แต่น้อย..

ดังนั้น...เมื่อมหาอำนาจสูงสุดของโลกออกอาการ “บ้าไปแล้ว” เช่นนี้ สิ่งที่จะตามมา ก็คือ กฎหมายระหว่างประเทศ ระเบียบ ประเพณีปฏิบัติ ที่เคยทำให้ประชาคมโลกสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ สามารถกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างมีมาตรฐานรองรับ คงมีอันต้อง “พังทลาย” ลงไปอีกครั้ง โดยเฉพาะคราวนี้...ออกจะหนักซะยิ่งกว่ากรณีโลกร้อน หรือกรณีการย้ายสถานทูตตัวเองไปไว้ที่ไหนก็ได้ อันอาจถือเป็น “สิทธิอัตวินิจฉัย” ของประเทศหนึ่ง ประเทศใด ที่นำมาอ้างอิงกันไปในแต่ละช่วง แต่ละระยะ แต่การที่รัฐบาลประเทศหนึ่งๆ ตัดสินใจลงนามผูกพันเป็น “พันธสัญญา” ไปแล้วกับอีกหลายต่อหลายประเทศ แต่เมื่อเกิดการผลัดเปลี่ยนไปเป็นอีกรัฐบาล “พันธสัญญา” เหล่านั้นกลับกลายเป็น “กระดาษเช็ดก้น” ไปโดยทันที การเปลี่ยนข้อตกลงระหว่างชาติต่อชาติ เพียงเพราะการเปลี่ยนรัฐบาลหนึ่งไปเป็นอีกรัฐบาลหนึ่ง มันจึงส่งผลให้กฎหมายระหว่างประเทศ ระเบียบ ประเพณีปฏิบัติ ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แทบปราศจากมาตรฐานใดๆ มาเป็นตัวรองรับอีกต่อไปแล้ว...

สิ่งที่ตามมาอีกประการหนึ่ง...ก็คือแรงกดดันที่ก่อให้เกิด “การเลือกข้าง” หรือการไม่เหลือพื้นที่กลางๆ ให้กับชาติหนึ่งชาติใดอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อผู้นำอเมริกาประกาศเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ภายหลังการถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านของสหรัฐฯ แล้ว อเมริกาจะเริ่มหันไป “แซงชั่น” อิหร่านด้วยมาตรการขั้นสูงสุด บรรดาสินค้าต่างๆ ที่ประเทศใดเคยค้าๆ ขายๆ กับอิหร่านมาก่อน ไม่ว่าเหล็ก ถ่านหิน อะลูมิเนียม น้ำมัน รถยนต์ สายการบิน ธุรกรรมทางการเงิน ฯลฯ ต่างตกอยู่ในข่ายที่จะต้อง “คว่ำบาตร” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้...แม้ว่าบรรดาประเทศที่ร่วมลงนามข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน อย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี จะออกมายืนยันว่า พร้อมเดินหน้าไปตามข้อตกลงเดิมๆ แม้ไม่มีสหรัฐฯ ก็ตาม แต่ภายใต้ความซับซ้อนของการประกอบธุรกรรมทางธุรกิจชนิดต่างๆ โอกาสที่จะก่อให้เกิดความสับสน เกิดแรงกดดัน จนสุดท้าย...ต้องนำไปสู่การเลือกข้าง เลือกฝ่ายกันจนได้ หรือทำให้ข้อวิตกกังวลของเลขาธิการสหประชาชาติ “นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส” ที่เริ่มมองเห็นถึง “อัตราเสี่ยง” ของ “สงคราม” อันอาจเกิดขึ้นเพราะการถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ว่ามีสิทธิไปไกลถึงสงครามขนาดใหญ่ ในระดับ “สงครามโลกครั้งที่สาม” จึงย่อมมิใช่ความวิตกกังวลจนเกินเหตุ...

ยิ่งไปกว่านั้น...เงาทะมึนของ “สงคราม” ที่ทาบทับอยู่ในตะวันออกกลางช่วงนี้ ยิ่งทำให้การเลือกข้าง เลือกฝ่าย มีแนวโน้มที่หนีไม่พ้นต้องหาทางวัดตัดสินกันด้วย “กำลังทหาร” ยิ่งเข้าไปทุกที ความร่วมมือเพื่อ “ต่อต้านภัยคุกคามจากอิหร่าน” ของสหรัฐฯ และอิสราเอล โดยมีซาอุดีอาระเบียห้อยท้าย ไม่เพียงแต่ทำให้ “สันติภาพในซีเรีย” ภายหลังการขจัดกวาดล้างผู้ก่อการร้ายแทบหมดเกลี้ยงทั้งประเทศ กลับไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ยังทำให้โอกาสที่จะเกิดการ “ขยายวง” ของสงคราม ลุกลามไปสู่อาณาเขตรอบๆ ไม่ว่าปาเลสไตน์ เลบานอน เยเมน ฯลฯ ที่ถูกระบุว่าเป็นพื้นที่ที่ตกอยู่ภายใต้ “อิทธิพลของอิหร่าน” ส่งผลให้สงครามย่อยๆ อันแสดงให้เห็นถึงการละเมิดอธิปไตยระหว่างประเทศด้วยกำลังทหาร อุบัติขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า และในแต่ละครั้ง...มีสิทธิลุกลามบานปลายกลายเป็นการ “จุดชนวนสงครามใหญ่” ได้เสมอๆ...

ดังนั้น...ระหว่างที่ประธานาธิบดีอิหร่าน “นายฮัสซัน โรฮานี” ออกมาประกาศว่าอิหร่านยังพร้อมที่จะเดินข้อตกลงนิวเคลียร์ปี ค.ศ. 2015 ต่อไป แม้สหรัฐฯ จะถอนตัว เช่นเดียวกับอีก 5 ชาติที่เหลือ แต่ช่วงระหว่างนี้...ก็คงเป็นแค่ช่วงระยะแห่งการ “ฟักตัว” ของสงครามใหญ่ ที่แทบจะหลีกเลี่ยงได้ยากเต็มที หรืออย่างที่โฆษกสภาอิหร่าน “นายอาลี ลาริจานี” (Ali Larijani) ออกมาให้สัมภาษณ์หลังได้รับทราบคำประกาศของผู้นำสหรัฐฯ ไปไม่กี่นาที นั่นแหละว่า... “สำหรับรัฐบาลอเมริกันแล้ว พวกเขาเข้าใจภาษาอยู่เพียงแค่ภาษาเดียวเท่านั้น นั่นก็คือภาษาของการใช้กำลัง...” แนวโน้มที่ “ไฟนรกสุดขอบฟ้า” จะเริ่มต้นขึ้น จึงสามารถมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งๆ ขึ้นไปในทุกขณะ...


กำลังโหลดความคิดเห็น