xs
xsm
sm
md
lg

มองข้ามช็อตระหว่าง “ทรัมป์” กับ “คิม” ใครเป็นต่อ (1)

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


เรื่องของ “สันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี” นั้น...ดูจะเป็นเรื่องฮอตฮิตติดปาก หรือเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจจากชาวโลกไม่น้อยแม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ฉากเหตุการณ์อันชื่นมื่นระหว่างสองผู้นำเกาหลี ถึงกับก่อให้เกิดแรงกระตุ้น แรงบันดาลใจต่อบรรดา “ไทยเหลือง-ไทยแดง” ถึงขั้น...คิดๆ จะ “จูบปาก” กันขึ้นมามั่งแล้ว...

อย่างไรก็ตาม...สำหรับความคลี่คลายของสถานการณ์ดังกล่าว ว่าจะออกหัว -ออกก้อย แบบไหน อย่างไร ในวันข้างหน้า อันนี้คงหนีไม่พ้นต้อง “มองข้ามช็อต” ไปถึงการพบปะระหว่างผู้นำเกาหลีเหนือ อย่าง “คิมน้อย” กับผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่คาดๆ กันว่าน่าจะเริ่มเปิดฉากจับเข่า จับหัวเหน่ากันในช่วงอีก 3-4 สัปดาห์ข้างหน้า โดยจะนัดหมุบๆ หมับๆ เขาจับเขาจี๋ กันแถวๆ เมืองวลาดิวอสต็อกในประเทศรัสเซีย หรือแถวๆ บ้านเรา ที่ประเทศสิงคโปร์ ก็ยังมิอาจสรุปได้แน่ชัด...

แต่ใครจะเป็นฝ่ายกดดัน ไล่บี้ให้อีกฝ่ายต้องยอมรับเงื่อนไข ที่ตรงตามความปรารถนาและต้องการของตัวเองได้มากกว่า ใครจะเป็นฝ่าย “สะบัดตูด” หรือเป็นฝ่ายต้อง “walk out” ออกจากเวทีการเจรจา โดยเฉพาะเมื่อภาวะความขัดแย้งในระดับ “สงคราม” รวมทั้งความเป็นปรปักษ์ใดๆ ก็ตาม ต่างไม่ได้เป็นที่พึงปรารถนาสำหรับ “สองเกาหลี” อย่างเป็นที่ชัดเจนแล้ว ตาม “คำประกาศปันมุนจอม” ที่ถือเป็นหลักฐานยืนยันอย่างเป็นทางการ ผู้ที่จะต้องให้ “คำตอบ” ในเรื่องนี้ ก็คงหนีไม่พ้นไปจาก “ทรัมป์บ้า” นั่นเอง ว่าจะยังคงต้องดำรง “พระแสงของ้าว” ด้ามสั้น ด้ามยาว ไว้ในคาบสมุทรเกาหลี ต้องคงทหารอเมริกันเกือบ 30,000 นาย เอาไว้ “หาหอก” อะไรกันอีก รวมไปถึงระบบป้องกันขีปนาวุธบนพิกัดตำแหน่งสูงอย่าง “THAAD” ที่ไม่มีขีปนาวุธพิสัยใกล้ พิสัยกลาง พิสัยไกล เอาไว้ให้สอยอีกต่อไปแล้ว...

โดยสภาพเช่นนี้...เลยต้องถือว่าคุณพ่ออเมริกาเองนั่นแหละ ที่ตกอยู่ในสภาพกลายเป็น “ฝ่ายรับ” ทั้งในทางการเมือง การทูต รวมทั้งการทหารควบคู่ไปด้วย และโอกาสที่จะตอบ “คำถาม” ดังกล่าวได้อย่างถนัดชัดเจน หรืออย่างที่ทำให้อเมริกากลับมา “Great Again” เหมือนเมื่อครั้งที่เคยเป็นผู้รับประกันการันตี “สันติภาพและสงคราม” ในคาบสมุทรเกาหลี นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953 เป็นต้นมา ก็ดูจะยิ่งยากซ์ซ์ซ์หนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะโดยสภาพของ “ความเป็นอเมริกา” ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะอาศัย “ลูกบ้า” ระดับหนักหนาสาหัสไปถึงขั้นไหน แต่โดยแนวโน้มแห่งความเป็น “ลัทธิจักรวรรดิ” ที่นับวันมีแต่จะออกอาการ “เสื่อม” ลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้าย...อาจเป็นได้แค่ “องค์ประกอบ” ของ “การเจรจา 6 ฝ่าย” (เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้-อเมริกา-ญี่ปุ่น-จีน-รัสเซีย) เพื่อร่วมสร้างหลักประกันสันติภาพให้กับคาบสมุทรเกาหลี อย่างมิอาจบิดเบือน เฉไฉไปทางอื่น เหมือนอย่างเท่าที่เคยเป็นมาได้เลย...

พูดง่ายๆ ว่า...สภาพ “ความเป็นอเมริกา” ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะอาศัย “ลูกบ้า” ของ “ทรัมป์บ้า” เพียงใดก็เถอะ โอกาสที่จะ “Make America Great Again” แทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย อย่างที่บรรดานักสังเกตการณ์ต่างประเทศหลายต่อหลายราย ไล่เรียงเหตุปัจจัยมาให้เห็น เฉพาะแค่ความพยายามดำรงความเป็นอเมริกา ไม่ให้ต้อง “เจ๊ง” ลงไปเอง...แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว!!! เผลอๆ อาจเหนื่อยซะยิ่งกว่า “คิมน้อย” พยายามดำรงรักษาความเป็นเกาหลีเหนือมาตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ เอาเลยก็ว่าได้ และเพื่อให้พอมองเห็นภาพกันชัดๆ เลยคงต้องขออนุญาตไล่เรียงเหตุปัจจัยในแต่ละอย่าง เท่าที่พอมองเห็นได้ มานำเสนอเอาไว้ในที่นี้ เผื่อว่าพอได้เอาไว้ใช้คิดคำนวณระหว่างการพบปะเจรจา หรือการปะทะฟาดแข้งระหว่าง “คิมน้อย” กับ “ทรัมป์บ้า” ในอีกไม่นานนับจากนี้ ว่าควรจะต่อใคร รองใคร ควบลูกครึ่ง-ไม่ควบลูกครึ่ง นับทดเวลาบาดเจ็บ หรือไม่ อย่างไรก็แล้วแต่...

อันดับแรก...คือเฉพาะแค่เรื่อง “หนี้สินอเมริกา” ก็ต้องเรียกว่า...มีแต่ต้องหายใจทางเหงือกไปโดยตลอด สำหรับประเทศที่มีหนี้สินปาเข้าไปถึง 1 ใน 4 ของจำนวนหนี้สินที่มีอยู่รวมกันทั่วทั้งโลก แค่ย้อนไปประมาณ 10 ปีที่แล้ว จำนวนหนี้สินของประเทศอเมริกา สูงกว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัวของชาวอเมริกันไปถึง 250 ล้านเท่า แม้จะเอาทรัพย์สินของบรรดาอภิมหาเศรษฐีทั่วโลกทั้ง 400 อันดับ ที่นิตยสาร “ฟอร์บส์” เคยจัดลำดับทำเนียบเอาไว้ ยังมีมูลค่าไม่ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ของตัวเลขหนี้สินอเมริกาเอาเลยถึงขั้นนั้น ยิ่งพยายามแก้ปัญหาหนี้สินด้วยการเพิ่มหนี้เพื่อเอามาใช้หนี้กันไปเป็นพักๆ ตัวเลขหนี้สินที่เคยอยู่ในระดับ 9.6 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อปี ค.ศ. 2008 ก็เลยเด้งขึ้นมาเป็น 14.6 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อปี ค.ศ. 2010 และมาจนถึงบัดนี้ คือปี ค.ศ. 2018 ปริมาณหนี้สินของอเมริกาได้ปาเข้าไปถึง 21 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 700 ล้านล้านบาท มากกว่างบประมาณประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทย ชนิดสามารถเอาไว้ใช้ได้อีก 300 ปีข้างหน้าโน่นเลย...

แม้จะสามารถพิมพ์แบงก์เพิ่ม หรือพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาเท่าไหร่ก็ย่อมได้ แต่ปัญหาการเพิ่มขึ้นของตัวเลขหนี้สินนั้น ได้สร้างปัญหาทางงบประมาณ และการบริหารงานของรัฐบาล ชนิดก่อให้เกิดการปะทะกันระหว่างรัฐบาลกับรัฐสภาครั้งแล้ว ครั้งเล่า ด้วยเหตุเพราะการ “กำหนดเพดานหนี้” ของประเทศ ต้องอาศัยความยอมรับของรัฐสภาเป็นหลัก เมื่อครั้งที่จะต้องหาทางขยายเพดานหนี้ให้มากเกินไปกว่า 14.294 ล้านล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2010 หรือในยุค “โอมาบ้า” (โอบามา) ก็เล่นเอาเหนื่อยชนิดเหงื่อตกกีบกันมาแล้ว หรือตลอดช่วงระยะ 94 ปีที่ผ่านมา ของการกำหนดเพดานหนี้ประเทศโดยรัฐสภา ต้องเกิดการออกแรงหาทางขยายเพดานหนี้กันมาไม่ต่ำกว่า 74 ครั้ง และการขยายเพดานหนี้ในทุกๆ ครั้ง ก็ยิ่งทำให้ปริมาณหนี้กับขีดความสามารถในการผลิตของประเทศ หรือกับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ยิ่งถ่างกว้างออกไปยิ่งขึ้นทุกที จากปริมาณหนี้สินเมื่อเทียบกับจีดีพีในปี ค.ศ.2008 อยู่ที่ประมาณ 60.8 เปอร์เซ็นต์ ปี ค.ศ. 2001 ก็พุ่งขึ้นไปเป็น 93 เปอร์เซ็นต์ และมาถึงช่วงระหว่างนี้ ก็เลย 100 เปอร์เซ็นต์ ไปไม่รู้กี่หลักต่อกี่หลักเอาเลยก็ว่าได้ หรือไม่ว่าอเมริกันชนจะ “ผลิต” อะไรต่อมิอะไรออกมาได้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่ยังไม่เหลือพอจะเอาไว้ “ใช้หนี้” ได้เลยแม้แต่น้อย ส่งผลให้ใครก็ตามที่เกิดขึ้นมาในอเมริกาจะต้องกลายเป็นผู้แบกรับภาระหนี้ ชนิดหลังแอ่น ไหล่ลู่ไปโดยตลอด โดยถ้าว่ากันตามตัวเลขที่ได้รับการประมาณการจากสำนักงานงบประมาณประจำรัฐสภาสหรัฐฯ ภายในปี ค.ศ. 2019 ที่คาดๆ กันว่าหนี้สินของอเมริกา น่าจะมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 18-23 ล้านล้านดอลลาร์ ย่อมส่งผลให้อเมริกันชนทุกๆ ราย ต้องแบกหนี้รายละไม่ต่ำกว่า 63,333 ดอลลาร์ หรือรายละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาดูโลกภายในจักรวรรดิอเมริกา หนักซะยิ่งชาวเกาหลีเหนือไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...

แต่ที่หนักหนาสาหัสยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า... “ค่าเงินดอลลาร์” ที่สามารถนำไปแลกเป็นเงินไทยได้ประมาณ 30 บาทกว่าๆ ในทุกวันนี้ ภายในอนาคตเบื้องหน้า...มันจะมีค่าเหลือเพียงแค่ “กระดาษเช็ดก้น” ไปเลยหรือไม่ อย่างไร อันนี้...ยิ่งเหนื่อย ยิ่งตาย เข้าไปใหญ่ ซึ่งคงต้องไปตามต่อวันพรุ่งนี้ ว่าจะเหนื่อยถึงขั้นไหน จะตายหยังเขียด หรือตายกันในแบบไหน อย่างไร...???


กำลังโหลดความคิดเห็น