พลังอานุภาพแห่ง “สันติภาพ” นั้น...ต้องเรียกว่า “เอาเรื่อง” มิใช่น้อย ภาพของการจับมือ-ถือแขนระหว่างผู้นำเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ “คิม จองอึน” (Kim Jong-un) กับ “มุน แจอิน” (Moon Jae-in) ณ เส้นเขตแดนของทั้งสองฝั่งซึ่งอุบัติขึ้นเมื่อช่วงวันศุกร์ (27 เม.ย.) ที่ผ่านมาและได้รับการเผยแพร่ออกไปทั่วทั้งโลก ทำให้แม้แต่ชาวไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ซึ่งแทบไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเค้าเลย ยังอยากๆ จะชิม “บะหมี่เย็น” อาหารจานเด็ดสไตล์เกาหลีเหนือ ที่ถูกนำมาเสิร์ฟในระหว่างการประชุมซัมมิตของสองผู้นำ “หลีเหนือและหลีใต้” ขึ้นมามั่งเหมือนกัน...
คือบรรยากาศแห่งความ “แฮปปี้ เอนดิ้ง” อันเนื่องมาจากอานุภาพแห่ง “สันติภาพ”นั้น...ย่อมถือเป็นสิ่งพึงปรารถนาของทุกๆ ฝ่ายอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ยกเว้นแต่พวก “บ้าสงคราม” ทั้งหลาย ที่มีอยู่ไม่กี่ตัวเท่านั้นบนโลกใบนี้ ดังนั้น...แม้ว่าฉากเหตุการณ์เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา จะเป็นเพียงแค่ “จุดเริ่มต้น” ของความพยายามที่จะ “ยุติสงคราม” ระหว่างสองเกาหลี ที่เริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อเกือบ 70 ปีที่แล้ว (ค.ศ.1950-1953)ลงไปอย่างเป็นการถาวร แต่โดยจิตเจตนาซึ่งปรากฏอยู่ในคำประกาศของทั้งสองฝ่าย ที่ได้รับการเรียกขานในนาม “คำประกาศปันมุนจอม” (Panmunjom Declaration) ไปเรียบร้อยแล้วนั้น น่าจะช่วยผลักดันให้กระบวนการสันติภาพ สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างหนักแน่น มั่นคง มิใช่น้อย...
ไม่ว่าคำประกาศอันว่าด้วย... “จะไม่มีสงครามในคาบสมุทรเกาหลีอีกต่อไป และยุคใหม่แห่งสันติภาพได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว” หรือด้วยถ้อยคำที่ตอกย้ำเอาไว้อย่างชัดเจนว่า... “จะหยุดยั้งความเป็นปรปักษ์ของทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าบนบก ในทะเล และสูงขึ้นไปในอากาศ รวมทั้งเขตน่านน้ำที่เคยเป็นจุดพิพาท จะต้องถูกทำให้กลายเป็นเขตสันติภาพ (Peace Zone) อันจะเป็นหลักประกันให้กับเรือประมงของทั้งสองฝ่าย ที่จะสามารถประกอบอาชีพได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ถูกกล่าวหาว่าทำการละเมิดน่านน้ำของฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใดขึ้นมาอีก” ฯลฯ ฯลฯ และนั่นเอง...ที่จะกลายเป็น “คำถาม” ในช่วงต่อไป โดยเฉพาะต่อบรรดาพวก “บ้าสงคราม” ทั้งหลาย ถึงความจำเป็นที่จะต้องตระเตรียม “การเผชิญหน้าทางทหาร” เอาไว้สำหรับทั้งสองประเทศอีกต่อไปหรือไม่???
ไม่ว่าจะเป็นการ “ซ้อมรบ” ภายใต้รหัส “Key Resolve” ที่ต้องระดมทหารสหรัฐฯ ไม่ต่ำกว่า 23,000 นาย ทหารเกาหลีใต้อีกไม่น้อยกว่า 30,000 นายในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายนในแต่ละปี โดยกำหนดให้เกาหลีเหนือเป็น “เป้าหมาย” แห่งการโจมตี ตอบโต้กันโดยเฉพาะ การซ้อมรบภายใต้รหัส “Foal Eagle” ระหว่างกองทัพสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ทั้งในทางบก ทางทะเล ทางอากาศ ที่เริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997 และต้องซ้อมกันเป็นประจำทุกปี ระหว่างช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนจนได้ชื่อว่าเป็น “การซ้อมรบที่ใหญ่ที่สุดในโลก” โดยมีเกาหลีเหนืออีกนั่นแหละเป็นเป้าหมายในการตอบโต้ โจมตี ไปจนถึงการซ้อมรบภายใต้รหัส “Ulchi-Freedom Guardian” ที่เริ่มขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1976 และต้องซ้อมกันทุกปี ในระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน แถมยังไปดึงเอากำลังทหารจากแทบจะทั่วทั้งโลก ไม่ว่าอังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ มาร่วมซ้อม ร่วมประดิษฐ์คิดค้น ถักทอบูรณาการแผนการรับมือโจมตีทางคอมพิวเตอร์ โดยมีเกาหลีเหนือเป็นภาพจำลองของฝ่ายศัตรูอีกเช่นเคย...
แต่ในเมื่อทั้งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้...เขาเลิกคิดที่จะเป็น “ศัตรู” พร้อมที่จะยุติความเป็นปรปักษ์ทั้งในเขตบนบก น่านน้ำ ในอากาศลงไปแบบโดยสิ้นเชิงเช่นนี้ บรรดาการ “ซ้อมรบ” ทั้งหลายเหล่านี้ ควรจะต้องถูก “ยกเลิก” หรือจำเป็นต้อง “คงเอาไว้” ให้กลายเป็นพระแสงด้ามยาวคาโด่เด่เอาไว้เฉยๆ อย่างนั้นหรือเปล่า??? และถ้าหากมันควรต้องถูก “ยกเลิก” เพราะแทบไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ควรจะต้อง “คงเอาไว้” มันก็จะก่อให้เกิด “คำถาม” ใหม่ๆ ขึ้นมาอีกว่า กำลังทหารของกองทัพสหรัฐฯ ที่ถูกทิ้งเอาไว้ในเกาหลีใต้ เริ่มตั้งแต่จำนวน 28,500 นาย นับตั้งแต่ “สงครามเกาหลี” ยุติลงในทางเทคนิค (ปี ค.ศ.1953) แต่ต่อมาได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นๆ จนมีจำนวนไม่น้อยกว่า 30,000 นาย ควรจะได้เวลา “แยงกี้โกโฮม” หรือได้เวลากลับบ้าน-กลับช่องไปซะที อีกด้วยหรือเปล่า เพราะมันคงไม่เหลือ “ภารกิจ” ใดๆ ให้ต้องมานั่งรับประทาน “กิมจิ” เป็นอาหารว่างต่อไปอีกแล้ว ในเมื่อบรรดาชาวเกาหลีใต้ทั้งหลายทั้งปวง ต่างหันไปเข้าคิวรอรับประทาน “หมี่เย็น” กันเป็นสายๆ???
ยิ่งไปกว่านั้น...ก็ยังตามมาด้วยคำถามต่อไปอีกว่า “ระบบป้องกันขีปนาวุธในบริเวณพิกัดตำแหน่งสูง” ที่เรียกย่อๆ กันว่า “THAAD” (Terminal High Altitude Area Defense) ซึ่งอดีตรัฐบาลฝ่ายขวา ทายาทเผด็จการเกาหลีใต้อย่าง “นางปาร์ค กึนฮเย” (Park Geun-hye) ดิ้นรนเรียกร้องให้รัฐบาลอเมริกันนำมาติดตั้งไว้ในเกาหลีใต้ ด้วยเหตุผล ข้ออ้าง ว่าเพื่อเอาไว้รับมือกับขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ไม่ว่าในระดัยพิสัยใกล้ พิสัยกลาง หรือพิสัยไกล แต่กลับมีประสิทธิภาพ หรือมีพิสัยทำการทั้งในแง่สกัดกั้นและโจมตี ลึกเข้าไปถึงพื้นที่ความมั่นคงของทั้งจีนและรัสเซีย จนทำให้ทั้งสองคู่แข่งมหาอำนาจของคุณพ่ออเมริกา ต้องออกมาโวยครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ในเมื่อเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ พร้อมที่จะ “ยุติความเป็นปรปักษ์” กันในทุกๆ ด้านทั้งบนบก น่านน้ำ และในอากาศ แถมยังพร้อมป่าวประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่เพียงแต่จะทำให้คาบสมุทรเกาหลีไม่มีสงครามอีกต่อไป แต่ยังพร้อมที่จะทำให้คาบสมุทรเกาหลี กลายเป็นพื้นที่ที่ “ปลอดอาวุธนิวเคลียร์” (Denuclearization) อีกด้วยต่างหาก ด้วยเหตุนี้...ย่อมแทบไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้อง “เข็นถาด” เอามาวางไว้ในเกาหลีใต้ ให้รกมือรกตีน สองพี่น้องตระกูลคิม รวมทั้งสองผู้สนับสนุนให้เกิดสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี อย่างจีนและรัสเซียอีกต่อไปแล้ว...
บรรดา “คำถาม” เหล่านี้นี่แหละ...ที่ผู้นำมหาอำนาจสูงสุดอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” จะต้องเป็นผู้ให้คำตอบ โดยเฉพาะในการพบปะเจรจาระหว่าง “คิมน้อย” กับ “ทรัมป์บ้า” ที่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาฯ หรือมิถุนาฯ ที่จะถึงนี้ โดยจะเป็นการเจรจาระหว่าง 2 ฝ่าย หรือ 3 ฝ่ายก็แล้วแต่ (เกาหลีเหนือ-สหรัฐฯ-เกาหลีใต้) และถ้าหาก “ทรัมป์บ้า” ไม่อาจตอบคำถามเหล่านี้ได้ถนัดๆ เลือกหันไปใช้วิธี “สะบัดตูด” หรือ “Walk Out” ลุกออกจากห้องเจรจา หรือแม้แต่ “ล้มเลิกการเจรจา” ซะก่อนหน้าที่จะเป็นไปตามกำหนดการ ด้วย “อานุภาพแห่งสันติภาพ” นี่เอง...ที่จะทำให้บรรดาผู้ใฝ่ใจในสันติภาพทั้งหลาย อันประกอบไปด้วยเกาหลีใต้-เกาหลีเหนือ-จีน-และรัสเซีย คงต้องร่วมกันขับเคลื่อน “กระบวนการสันติภาพ” จนกระทั่งนำไปสู่ “การประชุม 6 ฝ่าย” หรือการนำเอา “อเมริกา-จีน-รัสเซีย-ญี่ปุ่น-เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้” มาร่วมกันสร้าง “หลักประกันสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี” ได้แบบนิ่มๆ เนียนๆ โดยไม่เปิดโอกาสให้พวก “บ้าสงคราม” ฉกฉวยประโยชน์จากความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลีได้อีกต่อไป...