xs
xsm
sm
md
lg

ความเป็นมนุษย์ของราชินีแห่งนาบู

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>นาตาลี พอร์ตแมน</b>
ว่ากันเรื่องการเมือง การทหาร สงครามเลือด สงครามเศรษฐกิจ การค้า ฯลฯ กันจนน่าจะเอียนๆ กันไปบ้างแล้ว วันนี้...เลยลองขออนุญาตเปลี่ยนบรรยากาศ ไปว่ากันเรื่อง “ดารา” เผื่อว่าอาจพอได้กระชุ่มกระชวยขึ้นมามั่ง แต่ก็อย่างว่า...เรื่องของ “ดารา” ที่จะหยิบมาพูดถึงในคราวนี้ คงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับประเภทใครไป “กิ๊ก” กะใคร ใครเตียงหัก เตียงล่ม แบบข่าวดาราในบ้านเรา แต่เป็นเรื่องของดาราฝรั่ง แถมยังเป็นฝรั่งอเมริกันเชื้อสายอิสราเอลซะอีกด้วย มันเลยจะชื่นๆ ฉ่ำๆ หรือออกไปทาง “แบบบ์บ์บ์แห้งง์ง์ง์” คงต้องพิจารณากันเอาเองก็แล้วกัน...

คือดารารายที่ว่านี้...ได้แก่คุณน้อง “นาตาลี พอร์ตแมน” (Natalie Portman) ผู้เคยมีชื่อเรียกขานตามแบบฉบับชาวยิว ว่า “Natalie Hershlag” อะไรประมาณนั้น แต่เพราะขณะที่อายุเพียง 3 ขวบ เธอได้ย้ายตามคุณพ่อที่เป็นหมอ แม่ที่เป็นศิลปิน อพยพจากกรุงเยรูซาเล็มไปอยู่ในอเมริกา จนกลายเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอิสราเอลผู้มีนามกรว่า “นาตาลี พอร์ตแมน” ด้วยประการละฉะนี้ และด้วยรูปร่าง หน้าตา ที่น่ารัก น่าใคร่ น่าเอ็นดู อยู่ไม่น้อย ทำให้เธอถูกดึงเข้ามาสู่แวดวงดาราตั้งแต่ยังรุ่นๆ ได้รับมอบหมายให้รับบทเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่สุดแสนจะว้าเหว่ ชื่อว่า “มาทิลดา” ในหนังเรื่องทริลเลอร์ เรื่อง “Léon-The Professional” ของดาราหนังบู๊ชาวฝรั่งเศสอย่าง “ลุค แบซง” (Luc Besson) จนเริ่มโด่ง เริ่มดังขึ้นมานับแต่บัดนั้น...

จากนั้น...เธอก็ได้เข้าร่วมแสดงหนังดังๆ ไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง และสามารถแสดงฝีไม้ลายมือจนถึงขั้นได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe Award) มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 จากหนังเรื่อง “Anywhere But Here” ที่ร่วมแสดงกับอภิมหาดาราอย่าง “ซูซาน ซาแรนดอน” ปี ค.ศ. 2001 ก็ได้รับเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ และลูกโลกทองคำ จากหนังเรื่อง “Closer” อีกรอบหนึ่ง จนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ. 2010 หรือเมื่อ 8 ปีที่แล้ว เธอจึงประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ด้วยคว้ารางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลอะคาเดมี อวอร์ด จากหนังเรื่อง “Black Swan” สมความปรารถนา ความต้องการ ได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์...

แต่แม้จะเป็นหนังที่ไม่ได้มี “รางวัล” อะไรติดไม้ติดมือมาด้วยก็ตาม...ก็ไม่ได้ฉุดรั้งความ “ดัง” ของเธอให้ต้องลดลงไปแต่อย่างใด โดยเฉพาะการรับบทเป็นราชินี “แพดเม่ อมิดาลา” (Padme Amidala) ราชินีแห่งนาบู พระมารดาของ “เจ้าหญิงเลอา” (Leia) ในหนังเรื่อง “สตาร์ วอร์ส” ของ “จอร์จ ลูคัส” ยิ่งทำให้เธอดังระเบิดเถิดเทิง ยิ่งกว่าการคว้ารางวัลประเภทใดต่อประเภทใด หรือกลายเป็นที่จดจำของพวกเด็กๆ ประเภท “สาวกสตาร์ วอร์ส” มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ และจะด้วย “ความดัง” แบบระเบิดเถิดเทิง หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้ จึงทำให้เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว คณะกรรมการพิจารณารางวัล “เจเนซิส ไพรซ์” (Genesis Prize) ของประเทศอิสราเอล จึงได้ตัดสินใจประกาศให้เธอเป็นผู้ได้รับรางวัลที่ว่านี้ ประจำปี ค.ศ. 2018 อันถือเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร พอๆ กับ “รางวัลโนเบิล” ของชาวอิสราเอลเอาเลยก็ว่าได้ ชนิดบางครั้งบางครา ก็ใช้คำเรียกรางวัลที่ว่านี้ว่า “Nobel Genesis Prize” ที่มีเอาไว้ยกย่องสรรเสริญต่อบรรดาผู้ที่ช่วยทำให้ “ชาวยิว” ทั้งหลาย ภูมิอกภูมิใจต่อการได้เกิดมาเป็น “ชาวยิว” หรือ “ชาวอิสราเอล” ที่เชื่อๆ กันว่าเป็น “ชนชาติที่พระเจ้าได้คัดสรรเอาไว้” ตามแนวคิดแบบชาตินิยม ศาสนานิยมมาตั้งแต่แรกนั่นเอง...

แต่แทนที่คุณน้อง “นาตาลี พอร์ตแมน” เธอจะออกอาการกระดี้กระด้า ดีอก-ดีใจ กับการได้รับรางวัลระดับโนเบิล ไพรซ์ของประเทศอิสราเอล ที่ยังแถมเงินติดปลายนวมให้อีกเป็นมูลค่าถึง 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 60 ล้านบาท ราชินีแห่งนาบูรายนี้ กลับออกมาป่าวประกาศเมื่อช่วงเดือนเมษาฯ นี่เอง ว่าเธอจะไม่เดินทางไปรับรางวัลดังกล่าวที่ประเทศอิสราเอล และไม่คิดจะเข้าร่วมในพิธีประกาศรางวัลเกียรติคุณครั้งนี้ อันเป็นพิธีที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” (Benjamin Netanyahu) จะเป็นผู้มากล่าวสุนทรพจน์ภายในงานดังกล่าว ส่วนเงินจำนวนประมาณ 2 ล้านดอลลาร์ที่เธอจะได้รับ เธอขอมอบให้เป็นเงินบริจาคกับองค์กรการกุศลเพื่อเด็กๆ ทั้งหลายไปตามสภาพ การประกาศไม่เดินทางไปรับรางวัล และไม่คิดจะร่วมในงานพิธีที่มีนายกรัฐมนตรีอิสราเอลเป็นองค์ประธานนี่เอง เลยส่งผลให้เธอถูกรุมสับ รุมเหยียบ และรุมกระทืบ จากบรรดาชาวอิสราเอลจำนวนไม่น้อย ไล่มาตั้งแต่รัฐบาลระดับรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส.นักการเมือง ผู้นำทางศาสนาประเภทแรบไบนักบวช ไปจนถึงบรรดาสื่อมวลชน ฯลฯ โดยเฉพาะประเภทที่ออกไปทาง “ยิวอิสซึ่ม” ทั้งหลาย...

คือคุณน้อง “นาตาลี พอร์ตแมน” นั้น...แม้เธอจะเป็นดารา แต่ออกจะเป็นดาราที่ไม่ได้หนักไปทางประเภท “หัวกลวง” หรือเอาสนุก เอาบันเทิงเข้าว่าเพียงลูกเดียวล้วนๆ แต่เธอค่อนข้างให้ความสนใจ ให้ความสำคัญกับเรื่องของคุณธรรมความดี ความงาม ความรักใคร่ห่วงใยต่อพวกเด็กๆ ต่อผู้ที่ถูกกดขี่ข่มเหง หรือแม้แต่ต่อสภาพความเป็นไปของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ มาโดยตลอด จนเคยได้รับมอบหมายให้เป็น “ทูต” ขององค์กร “Free the Children” หรือองค์กร “We Charity” ที่มุ่งปกป้องสิทธิของเด็กๆทั่วทั้งโลก ไม่ว่าชาติไหน ภาษาไหน เคยร่วมกับอาจารย์ นักวิชาการ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ลงชื่อในจดหมายเปิดผนึก เพื่อเรียกร้องให้ต่อต้านการทำลายสภาวะแวดล้อม ของบรรดาบรรษัทพลังงานถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ แบบชนิดเคียงบ่า-เคียงไหล่ และอาจด้วยจุดยืน ทัศนคติทำนองนี้ เธอเลยออกจะ “ไม่เห็นด้วย” เอามากๆ กับการที่รัฐบาลอิสราเอลในแต่ละรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี “เนทันยาฮู” กระทำย่ำยีต่อบรรดาชาวปาเลสไตน์แบบเหี้ยมโหด ทารุณ ชนิดม.ม้าแทบวิ่งไล่ตามไม่ทัน ดังเห็นได้จากข้อความที่เธอได้แสดงความคิด ความเห็นในเรื่องนี้เอาไว้ว่า... “ประเทศอิสราเอลนั้นก่อตั้งเมื่อ 70 ปีที่แล้ว เพื่อให้เป็นที่พำนักของบรรดาผู้อพยพลี้ภัย จากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ) แต่การกระทำอย่างโหดร้ายต่อบรรดาผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ในดินแดน (ที่ถูกยึดเอามาเป็นของ) อิสราเอล มันเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับค่านิยมความเป็นยิวของฉัน และเพราะฉันรักและเป็นห่วงอิสราเอลนั่นเอง ฉันจึงต้องยืนหยัดต่อสู้ความรุนแรง การทุจริตคอร์รัปชัน ความเหลื่อมล้ำ และการใช้อำนาจในทางที่ผิด...” นี่...สมกับเป็นราชินีแห่งนาบูมั้ยทั่น...

ด้วยทัศนคติเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้เธอไม่ต้องการจะไปปรากฏตัว หรือไปร่วมในพิธีที่ผู้นำรัฐบาลอิสราเอลอย่าง “นายเนทันยาฮู” รับบทเป็นพระเอก โดยที่ไม่ได้คิดจะต่อต้าน บอยคอตต่อความเป็นยิว หรือต่อประเทศอิสราเอล ตามที่ใครต่อใครหยิบเอาข้อกล่าวหาทำนองนี้มารุมเหยียบ รุมกระทืบเธอเอาเลยแม้แต่น้อย แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยความเป็นชาตินิยมแบบ “คลั่งชาติ” ด้วยการตีความทางศาสนาแบบ “คลั่งศาสนา” จนทำให้เชื่อไปตามๆ กันว่า “ชาวยิวคือผู้ที่พระเจ้าเลือกสรรแล้ว” รัฐบาลอิสราเอลแทบทั้งรัฐบาล นักการเมือง สื่อมวลชน ฯลฯ ต่างพยายาม “ยัดเยียด” ให้เธอกลายสภาพเป็น “ผู้ที่ตกเป็นเครื่องมือ” ของขบวนการ “BDS” (Boycott, Divestment, and Sanctions Movement) อันเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่เกิดจากความร่วมมือขององค์กรเอกชนปาเลสไตน์ 170 องค์กร ซึ่งพยายามเคลื่อนไหวคัดค้านการ “เหยียดเชื้อชาติ” ที่รัฐบาลอิสราเอลมุ่งกระทำต่อชาวปาเลสไตน์มาโดยตลอดนั่นเอง...ความเป็นมนุษย์ หรือการมองเห็น “คุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์” ของคุณน้อง “นาตาลี พอร์ตแมน” เลยทำให้เธอต้องกลายเป็น “มนุษย์ชาวยิวที่โดนชาวยิวต่อต้าน” ไปด้วยประการละฉะนี้แล...


กำลังโหลดความคิดเห็น