xs
xsm
sm
md
lg

ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงในซาอุฯ

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>เจ้าชาย โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย</b>
วันนี้...เห็นทีคงต้องเปิดเข่งบินข้ามฟ้า ข้ามทะเลทรายไปแถวๆ ซาอุดีอาระเบียโน่นเลย เพราะช่วงดึกๆ ดื่นๆ คืนวันเสาร์ ใครที่แวะเข้าไปในโลกโซเชียลมีเดีย ไม่ว่ายูทิวบ์ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ คงมีโอกาสได้เห็นคลิปวิดีโอว่าด้วยฉากยิงกันสนั่นเมือง ในแถบพระราชวังของกษัตริย์ “ซัลมาน” แห่งซาอุฯ ชนิดไม่น้อยไปกว่าฉากหนังบู๊ แอ็คชั่น ฮอลลีวูด ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตามแต่ คือรัวกันเป็นชุดๆ เป็นระลอกๆ ทั้งเปรี้ยงๆ...ตึมม์ม์ม์ๆ ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งบ้าน ทั้งเมือง...

แต่หลังจากมึนๆ งงๆ...จับต้นชนปลายแทบไม่ติดร่วม 2 ชั่วโมงกว่าๆ ข่าวคราวที่ถูกเผยแพร่ออกมาอย่างเป็นทางการ ของเจ้าหน้าที่ซาอุฯ ก็พยายามสรุปเอาไว้ประมาณว่า จู่ๆ ก็ดันมีเครื่องบินของเด็กเล่น ประเภทเครื่องบินโดรนอะไรประมาณนั้น ของใครก็ไม่รู้ ดันบินฝ่าเข้ามาในพื้นที่เขตหวงห้ามของพระราชวัง หน่วยรักษาความปลอดภัยในบริเวณนั้นจึงตัดสินใจสาดกระสุนเข้าใส่ ชนิดกลายเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ระดับหีดๆ หุ้ยๆ ไปโดยทันที...

แต่อันที่จริง...ถ้าเป็นแค่การยิงเข้าใส่เครื่องบินเด็กเล่น มันน่าจะออกไปทางเป๊าะๆ แป๊ะๆ ไม่ใช่เปรี้ยงๆ ตึมม์ม์ม์ๆ รัวกันชนิดหูดับตับไหม้ อย่างที่ปรากฏในคลิปวิดีโอแต่ละคลิป แถมบางคลิปไม่ใช่การยิงแหงนขึ้นไปบนฟ้า เพื่อสอยอะไรที่บินไป-บินมา แต่เป็นการยิงในแนวระนาบ ดูจากประกายไฟและวิถีการยิง มันน่าจะมีอะไรมากไปกว่า “เครื่องบินเด็กเล่น” อย่างเท่าที่เป็นข่าวเป็นทางการออกมา แต่จะไปสรุปว่าเป็นการยิงใคร หรือยิงอะไร ก็ออกจะยากซ์ซ์ซ์อยู่พอสมควร เพราะทางการซาอุฯ เขามีขีดความสามารถในการ “ปิดข่าว” แต่ละข่าวได้อย่างสนิทมิดชิด ไม่ว่าในระดับภายในประเทศ หรือนอกประเทศก็แล้วแต่ ตามประสาผู้ที่มีเงิน มีทอง พอที่จะซื้อโฆษณาสำนักข่าวกระแสหลักแต่ละแห่ง จนต่างพร้อมใจ “อมสากกะเบือ” กันมาโดยตลอด...

อย่างไรก็ตาม...ถ้าลองหันไปฟังข่าวคำร่ำลือ ประเภทซุบๆ ซิบๆ นักซุบๆ ซิบๆ รายหนึ่งในซาอุฯ ผู้ซึ่งใช้นามแฝงว่า “มุจตาฮิด” (Mojtahid) ที่เคยนำเสนอเรื่องซุบๆ ซิบๆ ในซาอุฯ มาโดยตลอด และหลายข่าว หลายคำร่ำลือก็ดูจะตรงกับ “ข้อเท็จจริง” มิใช่น้อย จนก่อให้เกิดข้อสมมติฐานกันไปว่า “มุจตาฮิด” รายที่ว่านี้ คือหนึ่งในสมาชิกราชวงศ์ซาอุฯ ผู้มีความไม่พึงพอใจต่อระบอบการปกครองของซาอุฯ มานานแล้ว สำหรับเหตุการณ์คราวนี้...นักซุบซิบรายนี้เขาสรุปเอาไว้ประมาณว่า เป็นความพยายาม “ลอบสังหาร” ของกลุ่มการเมืองกลุ่มใดในซาอุฯ ก็มิอาจทราบได้ ที่อาศัยหน่วยจู่โจมภาคพื้นดินหน่วยย่อยๆ ใช้รถจี๊ปติดปืนกลขนาด 50 มิลลิเมตร บุกฝ่าเข้าไปในเขตพระราชวัง สมทบด้วยการใช้เครื่องบินโดรนโจมตีจากฟากฟ้าควบคู่ไปด้วย โดยมีเป้าหมายเพื่อ “เด็ดหัว” มกุฎราชกุมารเจ้าชาย “โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน” (Mohammad bin Salman) หรือเจ้าชาย “MbS” กันโดยเฉพาะ ส่งผลให้เกิดการปะทะย่อยๆ ประมาณ 2 ชั่วโมง เกิดการล้มตายไปประมาณ 7 ราย จากจำนวนทั้งสองฝ่าย ส่วนที่บาดเจ็บ หรือถูกจับกุมคุมขัง ไม่ปรากฏหลักฐานเป็นที่แน่ชัด...

จริง-ไม่จริง...คงต้องไป “จินตนาการ” กันเอาเอง แต่ที่หลีกเลี่ยงและปฏิเสธไม่ได้ก็คือว่า...อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นภายในราชอาณาจักรซาอุฯ ช่วงนี้ เป็นสิ่งที่มิอาจเพิกเฉยได้โดยเด็ดขาด เนื่องจากมันมีความเกี่ยวพันกับ “ภาพรวม” ของสถานการณ์ในตะวันออกกลาง อย่างไม่อาจแยกออกจากกันได้เลย เพราะด้วยบทบาทของประเทศซาอุฯ ไม่ว่านับแต่อดีต-ปัจจุบัน-ไปจนถึงอนาคต โดยลักษณะอาการออกไปทางคล้ายๆ กับบทบาทของ “ผีโสโครก 3 ตน” ในคำพยากรณ์ บทวิวรณ์ ของพระคัมภีร์ไบเบิลนั่นแหละทั่น การออกไปล่อลวง “ปวงกษัตริย์ทั่วพิภพ” ให้มาทำศึกกัน ณ ตำบล “อารมาเกดโดน” ยังไงๆ...คงต้องพึ่งบริการของราชอาณาจักรซาอุฯ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...

แม้ว่าหลังจากประสบความล้มเหลวในการจัดตั้งรัฐก่อการร้าย หรือรัฐอิสลามซูเปอร์สเตท โดยพวกไอซิส ไอเอส หรือดาเอช ตามแนวคิดของพวกตะวันตก ได้พังพินาศลงไปแล้ว แต่ความพยายาม “ฉีกประเทศซีเรียออกไปเป็นชิ้นๆ” ที่กำลังรูป ก่อร่างขึ้นมาใหม่ โดยมี “คนหนุ่ม” (เฉพาะแต่เพียงอายุไม่ใช่ความคิด) อย่างผู้นำฝรั่งเศส “นายเอ็มมานูเอล มาครง” พยายามนำเสนอขึ้นมาในช่วงวันสองวันมานี้ เพื่อให้คุณพ่ออเมริกาคงกองกำลังทหารเอาไว้ในพื้นที่ภาคเหนือของซีเรีย โดยไม่จำเป็นต้องสนใจต่ออำนาจอธิปไตย หรือบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศที่เป็นหนึ่งในสมาชิกสหประชาชาติเอาเลยแม้แต่น้อย ยังไงๆ...ก็คงต้องอาศัยราชอาณาจักรซาอุฯ นี่แหละ เป็นส่วนหนึ่งในแผนการที่ว่านี้ โดยเฉพาะก่อนหน้านั้น...ก็เคยมีข่าวจาก “วอชิงตัน โพสต์” ว่าด้วยความพยายามพูดคุย โน้มน้าวระหว่างการเจรจาของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” กับเจ้าชาย “MbS” ผู้นำตัวจริงของซาอุฯ ในการพบปะครั้งล่าสุด เพื่อให้ซาอุฯ สนับสนุนเงินทองจำนวนไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์ในแต่ละปี เพื่อยึดครองพื้นที่ภาคเหนือของซีเรียเอาไว้ อันจะช่วยป้องกันการแพร่อิทธิพลของประเทศคู่กัดอย่างอิหร่านในซีเรีย หรือไม่ต่างไปจากการฉีกประเทศซีเรียออกเป็นชิ้นๆ ดังที่กล่าวเอาไว้แล้วนั่นเอง...

และดูเหมือนว่า...ข่าวคราวการเจรจาทำนองนี้ ก็น่าจะมีน้ำหนักรองรับอยู่ไม่น้อย เพราะทูตซาอุฯ ประจำวอชิงตัน ก็เพิ่งประกาศออกมาอย่างเป็นทางการว่า ซาอุฯ พร้อมที่จะส่งทหารเข้าร่วมในการยึดครองพื้นที่ซีเรียภาคเหนือ ถ้าหากอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกมีเป้าประสงค์เช่นนั้นจริงๆ อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในซาอุฯ ช่วงนี้...จึงสามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างพลิกผันไปในทางบวก-ทางลบได้เสมอๆ นั่นยังไม่รวมถึงการสร้าง “โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ” ในประเทศเล็กๆ จนๆ อย่างเยเมน ที่ถ้าหากไม่มีผู้คิดค้นแผนการ “บุกเยเมน” อย่างรัฐมนตรีกลาโหม เจ้าชาย “MbS” ตั้งแต่ต้นแล้ว มนุษย์ตาดำๆ จำนวนไม่ต่ำกว่า 20 ล้านคนในเยเมน คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพขาดอาหาร ขาดน้ำดื่ม ขาดยารักษาโรค ล้มตายกันระเนนระนาดเหมือนตราบเท่าทุกวันนี้...

ด้วยเหตุนี้...เสียงปืนที่ระเบิดเปรี้ยงๆ โครมๆ ในแถบพระราชวังซาอุฯ เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา จึงทำให้ใครต่อใครต้องหันไปจับตากันชนิดมิอาจกะพริบตาได้เลย เพราะโดย “เงื่อนไข” และ “เหตุปัจจัย” ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในซาอุฯ มันก็มีอยู่ด้วยกันมิใช่น้อย ไม่ว่าระหว่างสมาชิกราชวงศ์ต่อราชวงศ์ ระหว่างสมาชิกราชวงศ์กับฝ่ายศาสนา ไปจนถึงบรรดาชาวซาอุฯ ด้วยกันเอง ที่เริ่มอดรนทนไม่ได้กับการที่ “ผู้นำของโลกอิสลาม” ดันกลายสภาพไปเป็น “เครื่องมือของอิสราเอล” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ฯลฯ อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในซาอุฯ จึงอาจกลายเป็น “จุดเปลี่ยน” สถานการณ์ในตะวันออกกลางได้ทั้งกะบิ ไม่ว่าจะเป็นไปในทางบวกหรือทางลบก็ตาม...


กำลังโหลดความคิดเห็น