อันที่จริงเรื่องของเครื่องจักร หรือสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่สามารถคิด สามารถสร้างจิตสำนึก หรือสามารถแสดงออกถึงสติปัญญาในแบบมนุษย์ได้ ต้องถือเป็นเรื่องที่มีอยู่แต่ในนิทาน ในนิยายปรัมปรามาโดยตลอด ประเภท “หุ่นทองคำ” (Golden Robots) ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพเจ้าชาวกรีกอย่าง “Hephaestus” หรือในจินตนาการของชาวอียิปต์ ชาวจีน ชาวโลกอิสลาม ฯลฯ ที่นำมาใช้เป็นภาพสะท้อนของผู้ที่พยายามลอกเลียนแบบพระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่พยายามสร้างอิทธิฤทธิ์อิทธิเดช เพื่อปลอมตัวเป็นพระเจ้า อะไรทำนองนั้น...
แต่จินตนาการทำนองนี้...ถูกทำให้ดูเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา หรือถูกทำให้ “น่าจะเป็นไปได้” ก็เมื่อมนุษย์ได้หันมาให้ความสำคัญกับ “เครื่องจักร” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หรือยุคที่ “วัตถุ” มันเริ่มมีความสำคัญยิ่งไปกว่า “จิตใจ” ยิ่งขึ้นทุกที ยุคที่พวก “นักวิทยาศาสตร์”เริ่มคิดๆ ขึ้นมาว่าสิ่งที่เรียกว่า “จิต” นั้น สามารถนำมาวัด-ชั่ง-ตวงได้ภายในห้องทดลอง ไม่ผิดอะไรกับ “สสาร” ทั้งหลาย หรือจะเรียกว่า “ยุคเหตุผลนิยม” (Rationalism) ก็คงพอได้ ยุคที่นักปรัชญาฝรั่งเศสอย่าง “เรอเน เดการ์ต” (René Descartes) ได้ออกมาป่าวประกาศว่า “Je pense donc je suis” หรือ “Cogito ergo sum” หรือ “I think, therefore I am” หรือ “ฉันคิดฉันจึงมีอยู่” นั่นเอง อะไรที่คิดได้ หรือรู้จักคิดได้ ก็เลยแทบไม่ต่างไปจาก “มนุษย์” เข้าไปทุกที...
จินตนาการเหล่านี้มันจึงเริ่มไปปรากฏอยู่ “นิยายวิทยาศาสตร์” อย่างเรื่อง “Frankenstein” ของ “แมรี เชลลีย์” (Mary Shelley) นักเขียนชาวอังกฤษ เรื่อง “R.U.R” (Rossum’s Universal Robots) ของ “กาเรล ชาเปก” (Karel Capek) นักเขียนชาวเช็กที่เพิ่ม “ความเป็นไปได้” ไปพร้อมๆ กับ “ความน่าเกลียด น่ากลัว” มิใช่น้อย แต่จังหวะที่มันได้เริ่มกลายเป็น “เครื่องจักรที่คิดได้” แบบจริงๆ จังๆ นั้น น่าจะเป็นผลมาจากแรงกระตุ้นของ “สงครามโลกครั้งที่ 2” นั่นเอง ที่ทำให้นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษอย่าง “อลัน ทัวริง” (Alan Turing) ผู้ได้รับมอบหมายจากกองทัพอังกฤษ ให้หาทางถอดรหัสข่าวกรองของฝ่ายเยอรมนี จนเกิดการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องถอดรหัสที่เรียกขานกันในนาม “โคลอสซัส” (Colossus) อันอาจถือเป็น “เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก” ก็ว่าได้ ก่อนที่จะถูกนำมาดัดแปลงให้กลายเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์สมบูรณ์แบบ ที่มีชื่อว่า “มาเนียค” (Maniac) เพื่อเอาไว้ช่วยคำนวณทางคณิตศาสตร์ ระหว่างที่กองทัพอเมริกันกำลังผลิต “ระเบิดปรมาณู” ณ ฐานทัพลอสอาลาโมสนั่นเอง...
“ปัญญาประดิษฐ์” ที่ถูกนำไปใส่เอาไว้ใน “เครื่องจักรที่คิดได้” อย่าง “คอมพิวเตอร์” จึงถูกอธิบายถึงประวัติความเป็นมา โดยนักเขียนและผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ชาวอังกฤษอย่าง “ไมเคิล ชาลลีส” (Michael Shallis) เอาไว้น่าคิด น่าสนใจไม่น้อยในหนังสือเรื่อง “The Silicon Idol” หรือ “คอมพิวเตอร์-เทวรูปแห่งยุคสมัย” โดยเฉพาะที่กล่าวว่า... “คอมพิวเตอร์ถือกำเนิดขึ้นมาในครรภ์ของปรัชญาหรือทัศนะแบบลดส่วน (การแปรทุกสิ่งทุกอย่างให้ย่อยลงมาเป็นข้อมูลตัวเลข) หมอตำแยของมันก็คือทหาร และพยาบาลก็คืออุตสาหกรรมทุนนิยม ไม่ว่าโคลอสซัส หรืออีเนียค (Eniac ที่ถูกพัฒนามาจาก Maniac) ล้วนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดมุ่งหมายในการสงคราม ด้วยจิตนิสัยของนักยุทธศาสตร์การทหารที่มักมองผู้คนเหมือนชิ้นเนื้อที่มีชีวิตหรือที่ตายแล้ว ไม่ว่าจะนับเป็นแสนๆ หรือล้านๆ ศพ อันเป็นจิตนิสัยเดียวกันกับอัจฉริยะผู้สร้างเครื่องมือชนิดนี้ เพื่อช่วยให้การฆ่าคนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น คนในยุควิคตอเรียนนั้น เคยเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับกรรมพันธุ์ โดยมักมองว่าผู้ที่หลงผิดคือผู้ที่มี...เลือดชั่ว...ติดตัวมาด้วย และถ้าหากเชื่อกันตามแนวคิดเช่นนี้ คอมพิวเตอร์ก็คือสิ่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากเลือดชั่วนั่นเอง อีกทั้งความต้องการที่จะพัฒนาให้มันยกระดับยิ่งๆ ขึ้นไป ก็ยังคงผูกติดแนบแน่นกับจุดมุ่งหมายทางทหารเป็นสำคัญ จนแม้แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะกล่าวได้ว่า มันได้ข้ามพ้นชาติกำเนิดของมันแล้ว โดยประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์นั้นได้บ่งบอกถึงสัญลักษณ์ที่หนักแน่น สำคัญ ว่ามันมิใช่เป็นแค่เรื่องทางเทคนิค หรือเรื่องที่สามารถมองหาความเป็นกลางทางจริยธรรมได้เลย สัญลักษณ์ที่ถูกสะท้อนออกมาในคำเรียกว่า...มาเนียค...อันมีความหมายถึงความบ้าคลั่ง มิใช่เป็นแค่เรื่องขำขัน แต่เป็นการบ่งบอกถึงสภาพความเป็นจริงของตัวมันเอง...”
นี่...ด้วยประวัติความเป็นมาเช่นนี้ โอกาสที่จะหาทางระงับยับยั้ง ไม่ให้นำเอา “ปัญญาประดิษฐ์” ที่มีอยู่ในคอมพิวเตอร์ ไปใช้ต่อเติมเสริมแต่งให้เกิด “เครื่องจักรสังหาร” หรือ “หุ่นยนต์แห่งการทำลายล้าง” มันจึงเป็นอะไรที่ยากซ์ซ์ซ์เอามากๆ หรือแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย ขณะที่กองทัพประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างสหรัฐอเมริกา ได้ตั้งเป้าเอาไว้ว่า...จะต้องนำเอาหุ่นยนต์หรือเครื่องจักรในการสังหาร เข้าประจำการในกองทัพอเมริกันไม่น้อยกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปภายในปี ค.ศ. 2020 ผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ก็จำต้องสารภาพเอาไว้ระหว่างการบรรยายที่มหาวิทยาลัย Yaroslavl เมื่อปี ค.ศ. 2017 นี่เองว่า “ใครก็ตามที่เป็นผู้นำในเรื่องปัญญาประดิษฐ์...ผู้นั้นคือผู้ครองโลก” ไม่ต่างไปจากจีน อิหร่าน อิสราเอล หรือบรรดาประเทศในยุโรป ที่หันมาทุ่มเทให้กับการประดิษฐ์คิดค้น “อาวุธทำลายล้างตามแบบแผน” โดยมีปัญญาประดิษฐ์เป็นตัวเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพ ในการสร้างความฉิบหายให้กับฝ่ายตรงข้าม ให้หนักหน่วงรุนแรง ซับซ้อนพิสดารยิ่งๆ ขึ้นไป...
ด้วยเหตุนี้...แม้จะมีความพยายามรณรงค์ เพื่อหยุดยั้ง “นักฆ่าหุ่นยนต์” อย่างเป็นระบบและกิจการมาถึง 5 ปีเต็มๆ โดยบรรดาผู้ที่ยังให้ความสำคัญกับ “คุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์” อย่างเต็มที่ เต็มกำลัง แต่โอกาสที่บรรดามวลมนุษยชาติทั้งหลายจะข้ามพ้นไปจาก “ยุคเครื่องจักรแห่งการทำลายล้าง” ได้อย่างอยู่รอดปลอดภัย ไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับตัวละครหรือบรรดามนุษย์ในหนังเรื่อง “The Terminator” ออกจะเป็นอะไรที่เลือนลางยิ่งขึ้นทุกขณะ แต่ก็เอาเถอะ...ยังไงๆ ก็คงต้องตั้งความหวัง คอยเป็นกำลังใจ ให้กับบรรดาผู้คิดดี หวังดีทั้งหลาย ซึ่งกำลังออกเรี่ยวออกแรง พยายามหาทางรณรงค์ด้วยการ “Campaign to Stop Killer Robots” ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้...นั่นแล...