เปิดชัดๆ “ป่าแหว่ง” สร้างบ้านพักตุลาการดอยสุเทพ 2 หน่วยงานเจือสม "กรมธนารักษ์ - สำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5" อนุมัติให้ใช้พื้นที่ เมื่อปี 47 "บัณฑูร" เผยไทยตั้งศาลสิ่งแวดล้อมปี 65 พร้อมเร่งหาพื้นที่ทำแผนปฏิบัติการสิ่งแวดล้อม หลังแผนปฏิรูปมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายแล้ว กลุ่ม"ขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ" โพสต์ภาพ "ช. ช้างขอคืนป่า!! เพราะที่นี่คือบ้านหลังใหญ่ของเหล่าสัตว์ป่า
นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงกรณี มีการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เกี่ยวกับพื้นที่ก่อสร้างบ้านพักตุลาการศาลอทธรณ์ภาค 5 ที่ จ.เชียงใหม่ ว่า กรมอุทยานแห่งชาติฯ มีการเพิกถอนพื้นที่ดังกล่าว เพื่อนำไปสร้างบ้านพักตุลาการ หรือไม่
ทั้งนี้ ทางกรมอุทยานฯขอยืนยันว่าไม่ได้มีการออกประกาศ พ.ร.ฎ. เพิกถอนอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย เพื่อนำพื้นที่ไปก่อสร้างบ้านพักตุลาการแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เมื่อปี 2492 มี พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินหวงห้ามไว้ เพื่อใช้ประโยชน์แห่งกรมป่าไม้ ต่อมา พ.ศ.2507 ได้มีกฎกระทรวง กำหนดให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยสุเทพ ก่อนจะมี พ.ร.ฏ.กำหนดบริเวณที่ดินป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยสุเทพ ให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ตามพ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ 2504 โดยมีพื้นที่ทับซ้อนกับบริเวณที่หน่วยงานราชการต่างๆได้ขออนุญาตใช้ประโยชน์อยู่ก่อนแล้ว ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
ต่อมาในปี พ.ศ.2560 ที่ผ่านมาได้มี พ.ร.ฎ. เพิกถอนบริเวณที่หน่วยงานราชการขอใช้ประโยชน์อยู่เดิมออกจากเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย จำนวน 9 หน่วยงาน ได้แก่ กรมวิชาการเกษตร สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) โครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี สำนักงานพิงคนคร (องค์การมหาชน) มูลนิธิโครงการหลวง ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเชียงใหม่ กรมการข้าว ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านแมลงเศรษฐกิจ จ.เชียงใหม่ สำนักงานส่งเสริม และพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จ.เชียงใหม่ ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านการอารักขาพืช จ.เชียงใหม่ สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (วัดดอยปุย)
ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องมีการเพิกถอนพื้นที่ดังกล่าวออกจากเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย เนื่องจากบริเวณที่หน่วยงานราชการใช้ประโยชน์อยู่ก่อนแล้ว ขัดกับแนวทางการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ โดยการเพิกถอนเขตอุทยานแห่งชาติ (บางส่วน)ครั้งนี้ ไม่ได้รวมกับบริเวณบ้านพักตุลาการซึ่งอยู่นอกเขตอุทยานแห่งชาติ มาแต่เดิมแล้ว
นอกจากนี้ เมื่อตรวจสอบความเป็นมาของบริเวณสถานที่ก่อสร้างบ้านพักตุลาการ พบว่า เมื่อปี พ.ศ. 2483 ได้มี พ.ร.ฎ.กำหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่ อ.แม่ริม ไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในราชการทหาร จากนั้นเมื่อปี พ.ศ 2500 มีการนำที่ดินดังกล่าวขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ ระบุว่า เป็นการใช้ในราชการกระทรวงกลาโหม และมีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (นสล.) ให้อยู่ในความควบคุมดูแลของกรมธนารักษ์ เนื้อที่ 23,787-2-37 ไร่
ต่อมาในปี2540 ได้เริ่มมีการขอใช้พื้นที่ราชพัสดุ เพื่อก่อสร้างบ้านพักศาลและอาคารที่ทำการ โดยสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 และมีการอนุญาตจากกรมธนารักษ์ ให้ใช้พื้นที่ในปี พ.ศ. 2547 เนื้อที่ 147-3-30 ไร่ โดยเริ่มมีการก่อสร้างในปี พ.ศ.2557 จนถึงปัจจุบัน ซึ่ง ทางกรมอุทยานแห่งชาติฯ มีแผนที่แสดงแนวเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย กับพื้นที่ก่อสร้างบ้านพักตุลาการ ซึ่งอยู่นอกแนวเขตอุทยานฯ มาตั้งแต่เริ่มต้นอย่างชัดเจน
"ขอยืนยันว่า พื้นที่ก่อสร้างอาคารบ้านพักตุลาการไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการเพิกถอนเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย แต่ประการใด" อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ กล่าว
**เตรียมตั้งศาลสิ่งแวดล้อมปี 65
นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ โฆษกคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึง ความคืบหน้าในการทำแผนปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรฯ ภายหลังจากที่ประกาศใช้แล้วว่า คณะกรรมการฯกำลังเริ่มหาพื้นที่ปฏิบัติการ เพื่อปฏิบัติตามแผนปฏิรูป เช่น น้ำ ป่าไม้ เขตควบคุมมลพิษ ผังเมือง รวมถึงเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)โดยในเรื่องป่า จะใช้พื้นที่ จ.น่าน จ.แม่ฮ่องสอน อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ส่วนเรื่องเขตควบคุมมลพิษ ดูพื้นที่ไว้คือ ต.หน้าพระลาน อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี ที่มีปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก จากกิจกรรมเหมืองหินและโรงโม่หิน พื้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งจะต้องมีการแก้ปัญหาให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ รวมไปถึงในเรื่องการยกเลิกใช้สารเคมีการเกษตรบางชนิดที่เป็นอันตราย มีผลกระทบต่อสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมด้วย สำหรับในเรื่องการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ หรือการประเมินยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างยั่งยืน (SEAs) เราจะใช้เคสของพลังงานภาคใต้ เพื่อตอบโจทย์ปัญหาโรงไฟฟ้า จ.กระบี่ และโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จ.สงขลา เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องสำคัญคือ ระบบยุติธรรมสิ่งแวดล้อม ที่ส่วนหนึ่งจะมีการตั้งศาลสิ่งแวดล้อม ในปีที่ 4 หลังจากแผนปฏิรูปมีผลบังคับใช้ คือประมาณปี 2565 ซึ่งในช่วงปี1 -2 จะเป็นการสร้างความรู้ การอบรมเตรียมความพร้อมบุคลากรที่เกี่ยวข้องเกี่ยวในด้านการประเมินความเสียหาย และการสืบสวนด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ขอยกตัวอย่าง ว่าหากมีการตั้งศาลสิ่งแวดล้อม กรณีการยิงเสือดำ ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ก็จะมีระบบการประเมินมูลค่าความเสียหายที่เหมาะสม เป็นต้น
สำหรับการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปนี้ ทางคณะกรรมการฯ จะได้ทำงานร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ที่เป็นหน่วยงานหลัก โดย พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทส.ได้ตั้งสำนักงานบูรณาการแผนปฏิรูปประเทศ ให้ปลัด ทส. เป็นหัวหน้าคณะทำงาน ซึ่งการปฏิรูปในแต่ละด้าน จะมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในแต่ละปีด้วย ซึ่งในช่วงปีที่1-2 จะเป็นการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยและทันต่อเหตุการณ์ เช่น พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 เป็นต้น
"ภายใต้แผนปฏิรูปสิ่งแวดล้อมเราใช้กรอบเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)17เป้าหมายเป็นกรอบในการทำแผนทุกเป้าหมาย โดยจะทำให้เกิดการขับเคลื่อนแผนพร้อมๆกับการรักษาฐานทรัพยากรสิ่งแวดล้อมให้การพัฒนาประเทศเกิดขึ้นโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และคุณภาพชีวิต" นายบัณฑูร
**ช.ช้างขอคืนผืนป่า
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีที่มีกลุ่มประชาชนคัดค้านการสร้างบ้านพักตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 5 ที่จ.เชียงใหม่ว่า เพจเฟชบุ๊ก"ขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ" ได้โพสต์ภาพ และข้อความ "ช. ช้างขอคืนป่า!! ขอผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์กลับคืนมาให้น้องช้างดังเดิม ที่นี่คือบ้านหลังใหญ่ของเหล่าสัตว์ป่า โปรดออกมาเถอะครับ อย่าต้องให้ธรรมชาติไปจัดการไล่พวกคุณออกมาเลย ธรรมชาติมันน่ากลัวกว่าที่พวกคุณคิดไว้เยอะ ?? #น้องช้างเตือนพวกคุณแล้วนะ ทั้งนี้เพื่อคัดค้านโครงการก่อสร้างบ้านพักตุลาการศาลอุทธรณ์ ภาค 5 ที่ จ.เชียงใหม่
ด้าน นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผอ.รพ.จะนะ จ.สงขลา โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊คส่วนตัว ถึงเรื่องนี้ว่า หมู่บ้านป่าแหว่ง ควรถูกทุบทิ้งไหม ภาษีประชาชนทั้งนั้นนะตั้งเป็นพันล้าน! โดยเห็นว่า สมควรทุบทิ้ง แล้วปลูกป่ากลับไปให้เหมือนเดิม เพราะถ้าเก็บเอาไว้ ก็คาใจคนเชียงใหม่ และคนทั้งประเทศ อับอายแก่วงการยุติธรรมด้วย และหากทำเป็นศูนย์เรียนรู้ก็ต้องมีงบประมาณจัดมาให้ปีหนึ่งๆ หลายสิบล้านมาดำเนินการ โดยที่จะสิ้นเปลืองไปข้างหน้า เอางบนั้นไปปลูกป่าเพิ่มทุกปีอาจจะดีกว่า แถมบ้านส่วนหนึ่งอาจใช้เป็นบ้านพักเจ้าหน้าที่ของศูนย์เรียนรู้ สุดท้ายในอนาคตแบบไทยๆ ก็จะมีการค่อยๆรุกเพิ่มไปอีก ก็เป็นได้ การตัดใจทุบทิ้งจึงดีที่สุด