ผู้จัดการรายวัน360-ขสมก.อ่วม ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว หยุดการซื้อขาย รถเมล์ NGV 489 คัน กว่า 4.2 พันล. หลังพิจารณาเห็นว่ามติบอร์ดขสมก. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมสั่งชดใช้ค่าเสียหายให้เบสท์ริน 1,159.9 ล้านบาท กรณีเลิกสัญญาไม่รับมอบรถ
รายงานข่าวแจ้งว่า วานนี้(10 เม.ย.) ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งคุ้มครองการจัดซื้อซื้อขายรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) พร้อมซ่อมแซม และบำรุงรถโดยสาร 489 คัน ตามคดีหมายเลขดำที่ 709/2561 ระหว่างบริษัท สยาม สแตนดาร์ด เอนเนอจี้ จำกัด ผู้ฟ้องคดี กับ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ผู้ถูกฟ้องที่ 1 คณะกรรมการบริหารกิจการ ขสมก. ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โดยมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติของบอร์ด ขสมก. ในการประชุมครั้งที่ 15/2560 เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2560 ที่อนุมัติสั่งซื้อรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) พร้อมซ่อมแซม และบำรุงรถโดยสาร 489 คัน เป็นเงินทั้งสิ้น 1,891,450,000 บาท และที่อนุมัติสั่งจ้างซ่อมแซมและบำรุงรักษารถโดยสารจำนวน 489 คัน เป็นเงินทั้งสิ้น 2,369,388,375 บาท กับ กลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO” โดยมีบริษัท ช. ทวี จำกัด (มหาชน) และบริษัท สแกนอินเตอร์ จำกัด (มหาชน)
และตามมติบอร์ดขสมก.ในคราวประชุมครั้งที่ 16/2560 เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2560 ที่รับรองรายงานการประชุมบอร์ดครั้งที่ 15/2560 เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2560 โดยไม่ให้ขสมก.และบอร์ดนำมติดังกล่าวไปดำเนินการใดๆ ที่มีผลผูกพันเป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ทั้งนี้ ผู้ฟ้องว่า จากที่การประชุมบอร์ด ขสมก.ครั้งที่ 15/2560 เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2560 พิจารณาอนุมัติการประมูลรถเมล์ NGV 489 คัน มีกรรมการ ขสมก.เข้าร่วมประชุม 9 คน มีการอภิปรายว่าควรมีการจัดซื้อหรือไม่ และยังไม่ได้มีการลงมติอนุมัติจัดซื้อจัดจ้าง เพียงแต่ให้หลักการให้ชี้แจงในการประชุมครั้งต่อไป แต่บอร์ดได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า มีมติเห็นชอบลงนามสัญญา จำนวน 6 ต่อ 4 และต่อมาบอร์ดมีการประชุมเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2560 เพื่อรับรองการการประชุมครั้งก่อนหน้า โดยมีบอร์ดเข้าร่วม 6 คน ซึ่งมีกรรมการ 3 คนไม่รับรอง กรรมการ2 คนรับรอง อีก 1 คนงดออกเสียง ดังนั้นที่ประชุมต้องมีมติไม่อนุมัติทำสัญญา แต่ขสมก.ประกาศว่าบอร์ดมีมติเห็นชอบหรืออนุมัติทำสัญญาได้ ถือว่าการดำเนินการทำสัญญาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โดยศาลไต่สวนคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2561 ซึ่งขสมก.ได้ชี้แจงว่า มติบอร์ด เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2560 มีมติเอกฉันท์ ไม่มีกรรมการคนใดมีมติไม่เห็นชอบ เป็นการประชุมตามข้อบังคับฉบับที่1 ขสมก.ว่าด้วยการประชุมคณะกรรมการและอนุกรรมการลงวันที่ 10 พ.ย. 2519 แต่ในขณะลงมติ รองศาสตราจารย์คณิต วัฒนวิเชียร ได้ออกจากที่ประชุม เหลือกรรมการ 8 คน ซึ่งนายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานกรรมการได้กล่าวว่า คณะกรรมการมีมติเห็นชอบตามที่เสนอ
ส่วนการประชุมบอร์ดวันที่ 20 ธ.ค. 2560 ได้ขอดูถ้อยคำ เพื่อความแน่ใจ ถ้อยคำของประธานบอร์ดเป็นการอนุมัติของบอร์ดขสมก.แล้ว กรรมการอื่นไม่มีคัดค้าน ขสมก.จึงถือเป็นมติบังคับใช้ แต่ต่อมาได้จัดทำมติบอร์ดกลับไม่ปรากฎข้อความอนุมัติในรายงานการประชุม และพบว่า การประชุมวันที่20 ธ.ค.2560 มีกรรมการเข้าประชุม 6 คนได้อภิปรายและมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้เสนอราคา และการรวบรัดจัดซื้อจัดจ้าง
อย่างไรก็ตาม ขสมก.ชี้แจงต่อศาลว่า ได้เซ็นสัญญาและได้รับมอบรถ จำนวน 100 คัน เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2561 และได้มอบให้เขตเดินรถประจำการ วิ่งและเก็บค่าโดยสารตามปกติแล้ว หากมี คำสั่งดังกล่าวทุเลาตามผู้ฟ้อง จะส่งผลกระทบต่อบริการสาธารณะอย่างแน่นอน
***จ่ายค่าโง่เบสท์ริน กว่า 1.15 พันล้าน
ขณะเดียวกันศาลปกครองกลาง ยังมีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ 502,955/2560 ให้ ขสมก. (ผู้ถูกฟ้องคดี) ชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากการผิดสัญญาซื้อขายและจ้างซ่อมแซมบำรุงรักษารถยนต์โดยสารปรับอากาศ NGV ตามสัญญาเลขที่ ร.50/2559 ลงวันที่ 30 กันยายน 2559 รวมเป็นเงิน1,159,969,552.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ให้แก่บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด กับพวกรวม 4 ราย ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
ทั้งนี้ การที่ ขสมก. ไม่ตรวจรับมอบรถโดยอ้างว่า ได้รับหนังสือจากสำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งว่า ให้รอกรมศุลกากรพิจารณาถิ่นกำเนิดสินค้าก่อน เป็นการขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่คณะกรรมการตรวจสอบรับและทดสอบรถเมล์เอ็นจีวี มีมติให้มีการส่งมอบรถโดยสาร NGV เป็นงวดๆ ได้
รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้บริหาร ขสมก.ได้นัดประชุมหารือเร่งด่วน โดยคาดว่า ขสมก.จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งทั้ง 2 กรณีต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า วานนี้(10 เม.ย.) ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งคุ้มครองการจัดซื้อซื้อขายรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) พร้อมซ่อมแซม และบำรุงรถโดยสาร 489 คัน ตามคดีหมายเลขดำที่ 709/2561 ระหว่างบริษัท สยาม สแตนดาร์ด เอนเนอจี้ จำกัด ผู้ฟ้องคดี กับ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ผู้ถูกฟ้องที่ 1 คณะกรรมการบริหารกิจการ ขสมก. ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โดยมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติของบอร์ด ขสมก. ในการประชุมครั้งที่ 15/2560 เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2560 ที่อนุมัติสั่งซื้อรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) พร้อมซ่อมแซม และบำรุงรถโดยสาร 489 คัน เป็นเงินทั้งสิ้น 1,891,450,000 บาท และที่อนุมัติสั่งจ้างซ่อมแซมและบำรุงรักษารถโดยสารจำนวน 489 คัน เป็นเงินทั้งสิ้น 2,369,388,375 บาท กับ กลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO” โดยมีบริษัท ช. ทวี จำกัด (มหาชน) และบริษัท สแกนอินเตอร์ จำกัด (มหาชน)
และตามมติบอร์ดขสมก.ในคราวประชุมครั้งที่ 16/2560 เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2560 ที่รับรองรายงานการประชุมบอร์ดครั้งที่ 15/2560 เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2560 โดยไม่ให้ขสมก.และบอร์ดนำมติดังกล่าวไปดำเนินการใดๆ ที่มีผลผูกพันเป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ทั้งนี้ ผู้ฟ้องว่า จากที่การประชุมบอร์ด ขสมก.ครั้งที่ 15/2560 เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2560 พิจารณาอนุมัติการประมูลรถเมล์ NGV 489 คัน มีกรรมการ ขสมก.เข้าร่วมประชุม 9 คน มีการอภิปรายว่าควรมีการจัดซื้อหรือไม่ และยังไม่ได้มีการลงมติอนุมัติจัดซื้อจัดจ้าง เพียงแต่ให้หลักการให้ชี้แจงในการประชุมครั้งต่อไป แต่บอร์ดได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า มีมติเห็นชอบลงนามสัญญา จำนวน 6 ต่อ 4 และต่อมาบอร์ดมีการประชุมเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2560 เพื่อรับรองการการประชุมครั้งก่อนหน้า โดยมีบอร์ดเข้าร่วม 6 คน ซึ่งมีกรรมการ 3 คนไม่รับรอง กรรมการ2 คนรับรอง อีก 1 คนงดออกเสียง ดังนั้นที่ประชุมต้องมีมติไม่อนุมัติทำสัญญา แต่ขสมก.ประกาศว่าบอร์ดมีมติเห็นชอบหรืออนุมัติทำสัญญาได้ ถือว่าการดำเนินการทำสัญญาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โดยศาลไต่สวนคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2561 ซึ่งขสมก.ได้ชี้แจงว่า มติบอร์ด เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2560 มีมติเอกฉันท์ ไม่มีกรรมการคนใดมีมติไม่เห็นชอบ เป็นการประชุมตามข้อบังคับฉบับที่1 ขสมก.ว่าด้วยการประชุมคณะกรรมการและอนุกรรมการลงวันที่ 10 พ.ย. 2519 แต่ในขณะลงมติ รองศาสตราจารย์คณิต วัฒนวิเชียร ได้ออกจากที่ประชุม เหลือกรรมการ 8 คน ซึ่งนายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานกรรมการได้กล่าวว่า คณะกรรมการมีมติเห็นชอบตามที่เสนอ
ส่วนการประชุมบอร์ดวันที่ 20 ธ.ค. 2560 ได้ขอดูถ้อยคำ เพื่อความแน่ใจ ถ้อยคำของประธานบอร์ดเป็นการอนุมัติของบอร์ดขสมก.แล้ว กรรมการอื่นไม่มีคัดค้าน ขสมก.จึงถือเป็นมติบังคับใช้ แต่ต่อมาได้จัดทำมติบอร์ดกลับไม่ปรากฎข้อความอนุมัติในรายงานการประชุม และพบว่า การประชุมวันที่20 ธ.ค.2560 มีกรรมการเข้าประชุม 6 คนได้อภิปรายและมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้เสนอราคา และการรวบรัดจัดซื้อจัดจ้าง
อย่างไรก็ตาม ขสมก.ชี้แจงต่อศาลว่า ได้เซ็นสัญญาและได้รับมอบรถ จำนวน 100 คัน เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2561 และได้มอบให้เขตเดินรถประจำการ วิ่งและเก็บค่าโดยสารตามปกติแล้ว หากมี คำสั่งดังกล่าวทุเลาตามผู้ฟ้อง จะส่งผลกระทบต่อบริการสาธารณะอย่างแน่นอน
***จ่ายค่าโง่เบสท์ริน กว่า 1.15 พันล้าน
ขณะเดียวกันศาลปกครองกลาง ยังมีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ 502,955/2560 ให้ ขสมก. (ผู้ถูกฟ้องคดี) ชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากการผิดสัญญาซื้อขายและจ้างซ่อมแซมบำรุงรักษารถยนต์โดยสารปรับอากาศ NGV ตามสัญญาเลขที่ ร.50/2559 ลงวันที่ 30 กันยายน 2559 รวมเป็นเงิน1,159,969,552.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ให้แก่บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด กับพวกรวม 4 ราย ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
ทั้งนี้ การที่ ขสมก. ไม่ตรวจรับมอบรถโดยอ้างว่า ได้รับหนังสือจากสำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งว่า ให้รอกรมศุลกากรพิจารณาถิ่นกำเนิดสินค้าก่อน เป็นการขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่คณะกรรมการตรวจสอบรับและทดสอบรถเมล์เอ็นจีวี มีมติให้มีการส่งมอบรถโดยสาร NGV เป็นงวดๆ ได้
รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้บริหาร ขสมก.ได้นัดประชุมหารือเร่งด่วน โดยคาดว่า ขสมก.จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งทั้ง 2 กรณีต่อไป