เปิดผ้าม่านกั้งสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตหันมามอง “สงครามการค้า” และ “สงครามการทูต” ของคุณพ่ออเมริกันให้ชัดๆ อีกซักรอบ เพราะเอาไป-เอามา...มันคงไม่ใช่ “สงครามการค้าล้วนๆ” หรือ “สงครามการทูตล้วนๆ” แต่น่าจะหนักไปทาง “สงครามการเมือง” ที่อาจนำเอา “การทหาร” ตามมาติดๆ เมื่อไหร่ก็ย่อมได้...
หรือในส่วนที่ถือเป็น “สงครามการค้า” ซึ่งคุณพ่ออเมริกากำลังทำอยู่กับคุณพี่จีนนั้น ถ้าหากจะหาคำนิยามให้เหมาะๆ ก็อาจต้องเรียกว่า “สงครามการเมืองที่อาศัยการค้าเป็นเครื่องมือ” อะไรประมาณนั้น คือดูง่ายๆ จากการ “ขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม” นำเข้าอเมริกา ที่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ย่อมเห็นได้ไม่ยากว่า...ต่างไปจากการขึ้นภาษีเหล็กสมัยเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ของรัฐบาลประธานาธิบดี “บุชผู้ลูก”แบบคนละเรื่อง คนละม้วน ครั้งนั้น...ถือเป็นความพยายามแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาดุลการค้าของสหรัฐฯ หรือเพื่อสนองตอบเสียงเรียกร้องของผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกัน ตามแบบฉบับของนักการเมืองทั่วไปตามปกติ และเมื่อขึ้นไปแล้ว...ผลลบมันดันมีมากกว่าผลบวก การยกเลิกภาษีนำเข้าเหล็กในอีกไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็สามารถทำได้แบบไม่ต้องคิดหน้า-คิดหลัง อะไรให้เมื่อย...
แต่การขึ้นภาษีเหล็ก อะลูมิเนียมของ “ทรัมป์บ้า” คราวนี้...มันขึ้นแบบแปลกๆ อยู่ซักหน่อย คือเมื่อขึ้นไปแล้ว กลับดันหันมายกเว้น หรือผ่อนผันให้กับบรรดาผู้ส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมรายใหญ่ๆ ไปยังอเมริกาแบบแทบทั้งแผง หรือแทบจะครบทั้ง 10 อันดับของผู้ส่งออกเหล็กลำดับต้นๆ ไปยังอเมริกา ไม่ว่าแคนาดา ยุโรป ออสเตรเลีย เม็กซิโก บราซิล ฯลฯ แต่สำหรับผู้ส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมรายที่ 11 อย่างจีน กลับไม่ได้รับการยกเว้น หรือผ่อนผันเอาดื้อๆ!!! อันแสดงให้เห็นว่า...เอาเข้าจริงๆ แล้วมันก็คือความพยายามที่จะเล่นงานคู่แข่งทางการเมืองอย่างจีนนั่นแหละ เป็นการเฉพาะ โดยอาศัยกรรมวิธีทาง “การค้า” เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เป็นแค่ “สงครามการค้าล้วนๆ” ดังที่ตัว “ทรัมป์บ้า” เองก็ได้ออกมา “ทวิต” เรื่องนี้เอาไว้แบบชัดเจนพอสมควร...
ไม่ต่างไปจาก “สงครามการทูต” ระหว่างรัสเซียกับ “แองโกล-อเมริกัน” ที่ถูกจุดประกายมาจากกรณี “น้ำผึ้งหยดเดียว” เท่านั้น คือกรณีอดีตสายลับสองหน้ารัสเซียถูกวางยาพิษพร้อมกับลูกสาว ทั้งๆ ที่ยังไม่มีรายละเอียด ข้อพิสูจน์หลักฐานยืนยันกันให้ชัดๆ หรือกระทั่งไม่กล้าจะเปิดหลักฐานให้เห็นกันแบบถนัดๆ พอๆ กับการกล่าวหาเรื่อง “ซัดดัม ฮุสเซน” แห่งอิรัก ครอบครองอาวุธทำลายล้างอะไรประมาณนั้น แต่การเปิดฉากสงครามทางการทูตโดยมีอเมริกาและอังกฤษเป็นตัวนำ และพยายามดึงเอาอีก 16 ชาติในยุโรป โดยเฉพาะบรรดาชาติที่เพิ่งได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าเหล็กไปหมาดๆ มาร่วมต่อต้านรัสเซียในกรณีเช่นนี้ มันก็เลยไม่ต่างไปจาก “สงครามการเมืองที่อาศัยการทูตเป็นเครื่องมือ” นั่นเอง...
ซึ่งการกระทำเหล่านี้...ล้วนเป็นไปในลักษณะที่สอดคล้องกับ “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงฉบับใหม่” ของคุณพ่ออเมริกา ที่เพิ่งป่าวประกาศไปเมื่อไม่นานมานี้ ว่าแม้กระทั่ง “ผู้ก่อการร้าย” “รัฐก่อการร้าย” หรือ “รัฐอันธพาล” ทั้งหลาย กลับไม่ถือเป็น “ภัยคุกคาม” อันดับต้นๆ ของอเมริกาเหมือนอย่างเท่าที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ แต่กลับเป็นบรรดาพวกที่ถูกเรียกขานเอาไว้ในยุทธศาสตร์ความมั่นคงฉบับใหม่ ว่าพวก “Rival Power” หรือ “Revisionist Power” หรือพวกที่พยายามแข่งขันทางอำนาจกับอเมริกา พวกที่พยายามเปลี่ยนแปลงแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นคุณค่าและผลประโยชน์ของอเมริกา ให้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงกันข้าม อะไรประมาณนั้น และคงไม่ต้องเสียเวลาแปลความ ตีความอะไรกันมากมาย ก็พอสรุปได้ไม่ยากว่า ย่อมหมายถึงคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซีย นั่นแล...
ด้วยเหตุนี้...สิ่งที่ดูคล้ายๆ กับ “สงครามการค้า” หรือ “สงครามการทูต” แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว...ก็คือ “สงครามการเมืองที่อาศัยการค้าและการทูตเป็นเครื่องมือ” มันจึงยากซ์ซ์ซ์ที่จะหาจุดจบ หาข้อยุติ หรือสามารถผ่อนคลายให้บรรเทาเบาบาง ด้วยการตั้งโต๊ะ “เจรจา” กันได้ง่ายๆ แม้ว่าใครก็ตามที่พลอยถูก “ลูกหลง” ไปด้วย จะหวังและต้องการให้มันเป็นไปเช่นนั้น พูดง่ายๆ ว่า..มันกลายเป็นความขัดแย้ง แตกต่างกันในทาง “ยุทธศาสตร์” ในการมองโลก หรือความต้องการที่จะให้โลกเป็นไปเช่นไร ภายในอนาคตเบื้องหน้า ระหว่างโลกที่ทั้งจีนและรัสเซีย ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า...มันเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ที่จะมี “อำนาจสูงสุด” อยู่เพียงอำนาจเดียว หรือเป็น “โลกแบบขั้วเดียว” (Unilateralism World Orders) เพราะภายใต้ความเป็นโลกาภิวัตน์ในทุกวันนี้ มันได้ทำให้โลกกลายเป็น “โลกแบบหลายขั้ว” (Multilateralism World Orders) ไปนานแล้ว...
แต่สำหรับคุณพ่ออเมริกาแล้ว...ตั้งแต่หมดยุค “สงครามเย็น” เป็นต้นมา ท่านก็เชื่อของท่านมาโดยตลอด ว่ามีแต่ต้องหาทางทำให้โลกกลายเป็น “โลกแบบขั้วเดียว” เท่านั้น ถึงจะสามารถแก้ปัญหาแปลกๆ ใหม่ๆ นานาชนิด ไม่ว่าจะปัญหาการก่อการร้าย การแข่งขันทางอาวุธ การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร ไปจนถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งแน่ล่ะว่า...โลกในแบบขั้วเดียวที่ว่า ก็คงต้องมีคุณพ่ออเมริกานั่นเอง ที่เป็น “ผู้มีอำนาจสูงสุด” หรือเป็นผู้นำประเทศ “คลื่นลูกที่หนึ่ง” ที่จะช่วยปกป้องดูแล แจกจ่ายความรู้และการพัฒนาให้กับบรรดาประเทศ “คลื่นลูกที่สอง” “ลูกที่สาม” ไปตามเรื่องตามราว แบบที่พวก “ขวาใหม่” (Neo-Con) ในพรรครีพับลิกัน หรือพวก “เสรีนิยมใหม่” (Neo-Liberal) ในพรรคเดโมแครต ต่างเชื่อตามๆ กันมา ไม่ใช่เป็นแต่เฉพาะ “ทรัมป์บ้า” รายเดียวเท่านั้น ถ้าลองไล่มาตั้งแต่ “บุชผู้พ่อ” “บุชผู้ลูก” “คลินตัน” “เรแกน” ไปจนถึง “โอมาบ้า” (โอบามา) ฯลฯ ต่างเป็นไปในแนวนี้ด้วยกันทั้งสิ้น...
แม้จะมีการจัดคณะพูดคุยทางยุทธศาสตร์ เพื่อปรับแนวคิดในการมองโลกระหว่างบรรดามหาอำนาจทั้งหลาย มาตั้งแต่หลายสิบปีที่แล้ว แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง...มันก็ไม่เคย “จูน” เข้ากันได้เลย ความพยายามที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกของพวก “อำนาจลัทธิแก้” (Revisionist Power) อย่างจีนและรัสเซีย ไม่ว่าในแง่การเมือง เศรษฐกิจ การเงิน การค้า ไปจนถึงการทหาร ก็ยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่ความพยายามฉุดกระชากลากถูให้อเมริกากลับมา “Great Again” ตามความหวัง ความต้องการของ “ทรัมป์บ้า” ก็ยิ่งทำให้อะไรต่อมิอะไร “บ้าหนัก” เข้าไปใหญ่...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...โอกาสที่จะเห็นบรรยากาศความผ่อนคลาย การทุเลาเบาบางจากกรณี “สงครามการค้า” และ “สงครามการทูต” ที่บรรดาประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศประเภท “หญ้าแพรก” ทั้งหลาย ต่างปรารถนาและต้องการจะให้เกิดขึ้นในอนาคตเบื้องหน้า มันคงแทบไม่ต่างอะไรไปจากการหวังให้ “งาช้างงอกออกจากปากสุนัข” อะไรประมาณนั้น ด้วยเหตุนี้...ก็อย่าถึงกับไปมองโลกให้ออกไปทาง “โลกสวย” จนเกินไป แต่ควรเริ่ม “มองโลกที่เป็นจริง” ให้ชัดๆ เข้าไว้ เพื่อกำหนดระยะห่าง ระยะเคียงกับปรากฏการณ์ต่างๆ ให้สอดคล้อง เหมาะสม หรือให้เกิด “ประโยชน์สูงสุด” ต่อชาติตัวเองเข้าไว้ ไม่งั้น...โอกาสที่จะ “ซวย” ไปด้วย ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ!!!