xs
xsm
sm
md
lg

เขาว่ากระแสย้อนอดีตคือจำอวด

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ


พวก “โลกนิยม” กำลังดีดดิ้นกับกระแส “ไทยนิยม” ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกระแสละครบุพเพสันนิวาสที่ปลุกให้คนสนใจประวัติศาสตร์และหันมาแต่งกายชุดไทยกัน

นิธิ เอียวศรีวงศ์ ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ ถึงกับยกมาร์กซ์มาอ้างว่า การย้อนกลับมาได้รับความนิยมของประวัติศาสตร์ในอดีตนั้นเป็นแค่ “จำอวด” เท่านั้น

จำอวด คือการแสดงชนิดหนึ่งของไทย ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 อธิบายไว้ว่าคือ “การแสดงเป็นหมู่โดยใช้ถ้อยคำชวนให้ตลกขบขัน”

เป็นเรื่องน่าขมขื่นไม่น้อยที่ครูประวัติศาสตร์อย่าง “นิธิ” มองว่า การโหยหาอดีตนั้นเป็นเรื่องตลก

นิธิอ้างที่มาร์กซ์บอกว่าเป็นจำอวดก็เพราะว่า การเกิดขึ้นอีกครั้งเพราะเป็นการลอกเลียนข้อเท็จจริงและบุคคลในอดีตอย่างผิดฝาผิดตัว อ้าวแล้วที่นิธิอ้างคำของมาร์กซ์ในอดีตมาวิเคราะห์สังคมไทยปัจจุบันนั้นมันไม่ใช่อดีตที่ผิดฝาผิดตัวด้วยเหรอ ทำไมการย้อนอะไรในอดีตจึงกลายเป็นเรื่องที่ “น่าขบขัน” ในความหมายของ “จำอวด” อย่างที่นิธิเชื่อตามมาร์กซ์ แล้วนำความเชื่อนั้นมาครอบกระแสที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้เช่นนั้นหรือ

ส่วนตัวผมมองว่ากระแส “ไทยนิยม” ย้อนอดีตของคนไทยนั้นเป็นคนละความหมายของคำว่า “ไทยนิยม” ของรัฐบาลประยุทธ์นะ และความหมาย “ไทยนิยม” ที่รัฐบาลสร้างขึ้นมาตามความเข้าใจก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการย้อนอดีตที่เกิดขึ้น ว่าไปแล้ว “ไทยนิยม” ยังไม่ได้ใกล้เคียงกับ “รัฐนิยม” ในยุคของจอมพลป. พิบูลสงคราม แต่ “ไทยนิยม” เป็นคำเฉพาะเพื่อหลีกเลี่ยงคำว่า “ประชานิยม” ในยุครัฐบาลทักษิณเท่านั้นเอง

“ไทยนิยม” จึงเป็นเพียงชื่อๆ หนึ่งที่ใช้เรียกขาน เหมือนคนชื่อ “ทักษิณ” ไม่ได้แปลว่าคนใต้ แต่ว่าคือคนเหนือคนหนึ่งที่ชื่อทักษิณ แต่บังเอิญ “ไทยนิยม” ของรัฐบาลประยุทธ์มาสอดคล้องกับกระแสความนิยมไทยจากละครบุพเพสันนิวาสพอดี พูดง่ายๆ คำว่า “ไทยนิยม” ของรัฐบาลประยุทธ์คือวิสามัญนามประชานิยมของรัฐบาลประยุทธ์นั่นเอง

แน่นอนว่านโยบาย “ไทยนิยม” ของรัฐบาลประยุทธ์เป็นนโยบายที่ใช้หาเสียงเพื่อเตรียมไปสู่การเลือกตั้งอย่างไม่ต้องสงสัย

เพราะสิ่งที่เขาขับเคลื่อนก็คือ “โครงการไทยนิยมยั่งยืน” ซึ่งระบุว่า เป็นการบูรณาการงานของรัฐบาลและทุกกระทรวง ทั้งงานระดับนโยบาย งานตามภารกิจ และงานเชิงพื้นที่ เป้าหมายสำคัญเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและเป็นภาระของประชาชนในพื้นที่ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ แผนการปฏิรูป และปัญหาในเชิงพื้นที่ โดยมุ่งหวังให้เข้าถึงคนระดับล่าง เป็นการต่อยอดขยายผลจาก “แนวคิดประชารัฐ” พูดกันตรงๆ ก็คือ นโยบายประชานิยมแบบหนึ่งนั่นเอง

ชาวบ้านในต่างจังหวัดนั้นเขายังติดใจนโยบายประชานิยมของทักษิณ เมื่อรัฐบาลอื่นทำอะไรคล้ายๆ กันแม้จะตั้งชื่อขึ้นมาใหม่ คนก็เข้าใจว่ามันคือประชานิยมนั่นเอง เหมือนคนไทยยุคหนึ่งที่เรียกผงซักฟอกเหมารวมว่า แฟ้บ หรือเรียกผ้าอนามัยเหมารวมว่า โกเต็กซ์

ดังนั้น “ไทยนิยม” ของรัฐบาลประยุทธ์ไม่ได้มีความหมายว่าให้ใช้ของไทยซื้อของไทยแบบรัฐนิยมของจอมพล ป. และเป็นคนละเรื่องกับที่เกิดกระแส “ออเจ้า” ของคนไทย

แต่กระแสโหยหาอดีตที่ถูกปลุกขึ้นโดยละครอิงประวัติศาสตร์ ที่บางคนหวั่นว่าจะปลุกกระแสชาตินิยมขึ้นมานั้น ผมกลับมีความคิดว่า ชาตินิยมในความหมายปัจจุบันไม่ได้เรื่องเสียหายอะไร เพราะมันเป็นเพียงการสร้าง “อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม” ของชาติตัวเอง ในขอบเขตของชาติตัวเอง พรมแดนประเทศที่เลือนหาย มาตรการทางเศรษฐกิจของโลกการแข่งขันทางการค้าทุกวันนี้นั้นมันยากมากที่จะทำให้เกิดเป็นกระแสชาตินิยมสุดขั้ว คลั่งชาติตัวเองชังชาติคนอื่นจนเกิดเป็นกระแสคนไทยใช้สินค้าไทยได้อีกแล้ว หรือไม่ใช่การสร้างกระแสชาตินิยมเพื่อไปทำสงครามกับชาติไหนแน่

ที่สำคัญชาตินิยมไทยนั้นไม่มีลักษณะกีดกันในลักษณะของเชื้อชาติอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นไทยแท้ จีน หรือแขก เพราะผสมปนเปกันจนแยกไม่ออกไปแล้ว เพียงแต่เป็นชาตินิยมในเรื่อง “ความเป็นไทย” หรือ “แบบไทยๆ” ที่พวกลิเบอรัลฟังแล้วของขึ้น

แม้นิธิจะมองการย้อนอดีตเป็นเรื่องขบขันเป็นจำอวด สำหรับผมอดีตไม่ใช่เรื่องที่เสียหายอะไร การจดจำอดีตเพื่อเป็นบทเรียนของการใช้ชีวิตในปัจจุบันน่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่จะช่วยให้เรามีความระมัดระวังในการใช้ชีวิตมากขึ้น แม้อนาคตจะเป็นสิ่งที่เราไม่คาดการณ์ได้ การเตรียมตัวในปัจจุบันที่ดีก็สามารถคาดหวังผลลัพธ์ที่ดีได้

ผมออกจะแปลกใจเหมือนกันที่คนรุ่นใหม่อย่างธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โพสต์เฟซบุ๊กว่า “ลืมอดีตเก่าๆ แล้วเรามาเป็นชาวอนาคตใหม่กันครับ”

มีคนอธิบายว่าหมายถึงให้ลืมการเมืองแบบเก่าที่มีแต่เรื่องผลประโยชน์ การทุจริต และการแก่งแย่งชิงดีมาสู่วิถีการเมืองแบบใหม่ที่พรรคอนาคตใหม่จะนำพาไป ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ฟังแล้วใช้ได้เลย

แต่ก็มีคนบอกว่า ธนาธรต้องการให้ลืมคำพูดเก่าของตัวเอง และของแกนนำพรรคคนอื่นๆ ที่ท้าทายค่านิยม ความเชื่อและศรัทธาของสังคมไทย ที่กลับมาหลอกหลอนธนาธรกับพวก จนระยะหลังธนาธรเริ่มระมัดระวังคำพูดให้เป็นไปตามแบบวิธีของนักการเมืองมากขึ้นใช่หรือไม่

สำหรับผมแล้ว อดีตเป็นสิ่งที่เราไม่ควรลืม มันทำให้เราใช้ปัจจุบันได้อย่างระมัดระวังและมีสติมากขึ้น ถ้าเราไม่ต้องสนใจอดีตเลย คนก็จะทำวันนี้อย่างไรก็ได้ ชั่วร้ายอย่างไรก็ได้ เพราะเมื่อมันกลายเป็นอดีตไปแล้วก็จะไม่ต้องพูดถึง คิดแต่อนาคตใหม่

แท้ที่จริงแล้วปัญหาของพรรคอนาคตใหม่ในปัจจุบันก็คือ อดีตที่กำลังไล่ล่า

ทั้งหมดนี้เป็นการพูดตามข้อเท็จจริง อย่าเข้าใจผิดนะครับว่า ผมมีความคิดเห็นที่ตรงกันข้ามกับพรรคอนาคตใหม่ เท่าที่ผมฟังธนาธรพูดมีหลายสิ่งเป็นเรื่องที่ดีถ้าเขาทำได้จริง ส่วนตัวแล้วผมก็อยากให้พรรคอนาคตใหม่ได้ ส.ส.เข้าไปสักจำนวนหนึ่ง เพื่อให้นักการเมืองเก่าได้ตระหนักว่า พวกเขากำลังกลายเป็นคลื่นลูกเก่าที่จะถูกทำลาย เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่เห็นตัวผู้สมัครยังไม่สามารถวัดกระแสได้ก็เลยไม่สามารถคาดการณ์ได้ แต่เชื่อว่าพรรคอนาคตใหม่จะมากินเสียงคนเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย เพราะอนาคตใหม่จะเข้ามาแย่งพื้นที่ที่พรรคเพื่อไทยไม่เคยเข้าถึง นั่นคือ คนเมือง ไม่ต้องพูดถึงคนรุ่นใหม่ที่เทใจให้พรรคอนาคตใหม่ไม่น้อย

อย่างที่ผมเคยบอกไว้ว่า พรรคอนาคตใหม่นั้นแท้จริงแล้ว คือ Niche Market ของพรรคเพื่อไทยในแบบของการตลาดยุคใหม่

ความเป็นไทยในอดีตที่ย้อนกลับมาจะเป็น “จำอวด” หรือเรื่องขบขันตามทัศนะของนิธิหรือไม่ก็ตามแต่ แต่อดีตที่ย้อนกลับมาสู่ปัจจุบันได้ แปลว่ามันเป็นอดีตที่ดีงามต่างหาก ดังนั้นเราทำอดีตให้ดีเสียก่อนจึงจะคาดหวังอนาคตใหม่ที่ดีได้

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น