ผู้จัดการรายวัน 360 - ตลาดหุ้นไทยดิ่งหนักกว่า 40 จุด ปิดที่ 1,724.98 จุด คิดเป็น 2.28% มูลค่าการซื้อขายกว่า 9.3 หมื่นล้านบาท หลังจากนักลงทุนแห่ทิ้งหุ้นขนาดใหญ่กลุ่มแบงก์พาณิชย์-พลังงาน บวกกับความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน นักวิเคราะห์ประเมิน นักลงทุนตื่นกลัวแบงก์พาณิชย์ทยอยหั่นเป้ารายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยจนกระทบต่อกำไร แบงก์กสิกรไทย นำร่องประกาศลดเป้ารายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลง 6-8% "บัณฑูร" ปลอบผู้ถือหุ้นเร่งหาธุรกิจเสริมชดเชยรายได้ค่าธรรมเนียมหด
บรรยากาศการซื้อขายหลักทรัพย์ วานนี้ (4 เม.ย.) นักลงทุนเทขายหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากความกังวลธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้ประกาศปรับลดประมาณการรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลง หลังจากที่ประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมการฝาก ถอน โอน และอื่นๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลแบงก์กิ้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้และผลประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยตรง รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ด้วย
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในแดนบวกเล็กน้อย ก่อนจะเจอแรงเทขายกดดันให้ดัชนีปรับตัวลดลง และลดลงรุนแรงในช่วงบ่าย โดยแตะระดับต่ำสุดที่ 1,771.58 จุด สูงสุดที่ 1,724.90 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 1,724.98 จุด ลดลงจากวันก่อนหน้าถึง 40.26 จุด หรือคิดเป็น 2.28% มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 93,160.59 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 204.11 ล้านบาท สถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 3,859.63 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 3,862.21 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 7,517.73 ล้านบาท
สำหรับหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินที่ปรับตัวลดลงประกอบด้วย ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปิดที่ 195.50 บาท ลดลง 16,50 บาท คิดเป็น 7.78% มูลค่าการซื้อขาย 4,939.22 ล้านบาท บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) ปิดที่ 266 บาท ลดลง 28 บาท คิดเป็น 9.52% มูลค่า 3,238.37 ล้านบาท ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ปิดที่ 188.50 บาท ลดลง 10 บาท หรือ 5.04% มูลค่าการซื้อขาย 3,026.63 ล้านบาท และธนาคารไทยพาณิชย์ ปิดที่ 140 บาท ลดลง 3.50 บาท หรือ 2.44% มูลค่าการซื้อขาย 2,166.32 ล้านบาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรง เนื่องจากนักลงทุนกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ประกอบกับแรงขายหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หลังทยอยประกาศยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลแบงก์กิ้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้รวมและผลกำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ลดลงด้วย นำโดยธนาคารกสิกรที่ ประกาศปรับลดรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลงร้อยละ 6-8 จากเดิมที่คาดว่าจะทรงตัวใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเกิดจากปัจจัยลบต่างประเทศเป็นหลัก เนื่องจากนักลงทุนกังวลสงครามการค้า ระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งกระทบตลาดหุ้นในภูมิภาคและตลาดหุ้นไทย หากพิจารณาเชิงพื้นฐานหุ้นไทยมีปัจจัยภายในประเทศที่แข็งแกร่งและมีข่าวดี โดยเฉพาะตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้ที่หลายสำนักปรับเพิ่มประมาณการณ์เติบโตไม่ต่ำกว่า 4% ทำให้ภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยระยะยาวยังมีทิศทางเติบโตดี ดังนั้น ในช่วงที่ภาวะหุ้นตกและมีข่าวสารกระทบการลงทุน นักลงทุนควรระมัดระวังและพิจารณาข่าวสารอย่างรอบคอบ
**บัณฑูรปลอบผู้ถือหุ้นค่าฟีหดเร่งหาธุรกิจเพิ่ม**
นายบัณฑูร ล่ำซ่ำ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBANK)กล่าวถึง กรณีที่มีการประเมินรายได้ค่าธรรมเนียมที่หายซึ่งไม่ถึง 4,000 ล้านบาท นั้น ธนาคารไม่กังวลเพราะธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ในระบบได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน และเพื่อรักษารายได้ให้อยู่ระดับสูง ธนาคารจำเป็นต้องหันไปทำอย่างอื่นมากขึ้น ซึ่งมีหลายช่องทางในการสร้างรายได้ โดยในระยะสั้นเน้นขายกองทุนกับประกันเป็นหลัก
ส่วนกรณีหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลดลงในขณะนี้ ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ แต่ต้องยอมรับว่านักลงทุนให้ความคาดหวังสูงกับธนาคารพาณิชย์ไทยที่อยู่ในระบบ เงินทั้งประเทศมากองอยู่ในธนาคารสูง ด้วยความเชื่อว่าธนาคารมความมั่นคง
ขณะที่การลดสาขาของธนาคารในอนาคตนั้น ก็เพื่อเป็นการลดต้นทุนทางการเงินของธนาคาร ซึ่งลูกค้าไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว เนื่องจากธนาคารได้นำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาช่วยเพิ่มช่องทางในการบริการอย่างต่อเนื่อง ส่วนพนักงานนั้นธนาคารยืนยันว่าไม่มีการปรับลดพนักงานในอนาคตแน่นอน แต่จะมีการปรับโยกย้ายพนักงานไปอยู่ในส่วนที่ขาดแคลนมากกว่า
ในขณะเดียวกันธนาคารก็จะต้องมีแผนเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางการเงินอย่างประกันชีวิตให้มีความหลากหลายมากขึ้น เนื่องจากการขายประกันผ่านช่องทางธนาคาร (แบงก์แอสชัวร์รันส์)ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเติบโตค่อนข้างมาก สามารถทำรายได้ให้กับธนาคารเป็นอย่างดี ล่าสุด ได้มีการหารือกับทางบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด บริษัทในเครือธนาคารกสิกรไทย ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่ๆและตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น
นอกจากนี้ ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นเห็นชอบในการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2560 ในอัตราที่ 4 บาท ช่วงปีที่ผ่านมาธนาคารได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.50 บาท คิดเป็นเม็ดเงิน 1,097 ล้านบาท ดังนั้น เงินปันผลที่เหลือ 3.50 บาท คิดเป็นเม็ดเงินรวม 8,736 ล้านบาท ซึ่งจะมีการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในวันที่ 30 เม.ย.2561 นี้ และจะปิดสมุดรายชื่อผู้ถือหุ้นในวันที่ 12 เม.ย.2561 ทั้งนี้ ธนาคารได้แต่งตั้ง นายพัชร สมะลาภา เป็นกรรมการผู้จัดการ และแต่งตั้ง นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร เป็นกรรมการอิสระ
ส่วนกรณีที่ประชุมผู้ถือหุ้นไม่เห็นชอบกรอบการดำเนินการขยายธุรกิจโดยวิธีการเข้าซื้อหรือร่วมทุนในกิจการวงเงินไม่เกิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นายบัณฑูร กล่าวว่า แผนการลงทุนดังกล่าว เป็นการขยายธุรกิจบริการทางการเงินในภูมิภาค AEC+3 เพื่อสร้างจุดยืนทางการตลาดและการเติบโตของรายได้ ในเมื่อแผนงานดังกล่าวไม่ได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น ธนาคารจำเป็นต้องลงทุนในรูปแบบอื่นแทน
บรรยากาศการซื้อขายหลักทรัพย์ วานนี้ (4 เม.ย.) นักลงทุนเทขายหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากความกังวลธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้ประกาศปรับลดประมาณการรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลง หลังจากที่ประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมการฝาก ถอน โอน และอื่นๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลแบงก์กิ้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้และผลประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยตรง รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ด้วย
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในแดนบวกเล็กน้อย ก่อนจะเจอแรงเทขายกดดันให้ดัชนีปรับตัวลดลง และลดลงรุนแรงในช่วงบ่าย โดยแตะระดับต่ำสุดที่ 1,771.58 จุด สูงสุดที่ 1,724.90 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 1,724.98 จุด ลดลงจากวันก่อนหน้าถึง 40.26 จุด หรือคิดเป็น 2.28% มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 93,160.59 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 204.11 ล้านบาท สถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 3,859.63 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 3,862.21 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 7,517.73 ล้านบาท
สำหรับหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินที่ปรับตัวลดลงประกอบด้วย ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปิดที่ 195.50 บาท ลดลง 16,50 บาท คิดเป็น 7.78% มูลค่าการซื้อขาย 4,939.22 ล้านบาท บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) ปิดที่ 266 บาท ลดลง 28 บาท คิดเป็น 9.52% มูลค่า 3,238.37 ล้านบาท ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ปิดที่ 188.50 บาท ลดลง 10 บาท หรือ 5.04% มูลค่าการซื้อขาย 3,026.63 ล้านบาท และธนาคารไทยพาณิชย์ ปิดที่ 140 บาท ลดลง 3.50 บาท หรือ 2.44% มูลค่าการซื้อขาย 2,166.32 ล้านบาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรง เนื่องจากนักลงทุนกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ประกอบกับแรงขายหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หลังทยอยประกาศยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลแบงก์กิ้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้รวมและผลกำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ลดลงด้วย นำโดยธนาคารกสิกรที่ ประกาศปรับลดรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลงร้อยละ 6-8 จากเดิมที่คาดว่าจะทรงตัวใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเกิดจากปัจจัยลบต่างประเทศเป็นหลัก เนื่องจากนักลงทุนกังวลสงครามการค้า ระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งกระทบตลาดหุ้นในภูมิภาคและตลาดหุ้นไทย หากพิจารณาเชิงพื้นฐานหุ้นไทยมีปัจจัยภายในประเทศที่แข็งแกร่งและมีข่าวดี โดยเฉพาะตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้ที่หลายสำนักปรับเพิ่มประมาณการณ์เติบโตไม่ต่ำกว่า 4% ทำให้ภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยระยะยาวยังมีทิศทางเติบโตดี ดังนั้น ในช่วงที่ภาวะหุ้นตกและมีข่าวสารกระทบการลงทุน นักลงทุนควรระมัดระวังและพิจารณาข่าวสารอย่างรอบคอบ
**บัณฑูรปลอบผู้ถือหุ้นค่าฟีหดเร่งหาธุรกิจเพิ่ม**
นายบัณฑูร ล่ำซ่ำ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBANK)กล่าวถึง กรณีที่มีการประเมินรายได้ค่าธรรมเนียมที่หายซึ่งไม่ถึง 4,000 ล้านบาท นั้น ธนาคารไม่กังวลเพราะธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ในระบบได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน และเพื่อรักษารายได้ให้อยู่ระดับสูง ธนาคารจำเป็นต้องหันไปทำอย่างอื่นมากขึ้น ซึ่งมีหลายช่องทางในการสร้างรายได้ โดยในระยะสั้นเน้นขายกองทุนกับประกันเป็นหลัก
ส่วนกรณีหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลดลงในขณะนี้ ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ แต่ต้องยอมรับว่านักลงทุนให้ความคาดหวังสูงกับธนาคารพาณิชย์ไทยที่อยู่ในระบบ เงินทั้งประเทศมากองอยู่ในธนาคารสูง ด้วยความเชื่อว่าธนาคารมความมั่นคง
ขณะที่การลดสาขาของธนาคารในอนาคตนั้น ก็เพื่อเป็นการลดต้นทุนทางการเงินของธนาคาร ซึ่งลูกค้าไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว เนื่องจากธนาคารได้นำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาช่วยเพิ่มช่องทางในการบริการอย่างต่อเนื่อง ส่วนพนักงานนั้นธนาคารยืนยันว่าไม่มีการปรับลดพนักงานในอนาคตแน่นอน แต่จะมีการปรับโยกย้ายพนักงานไปอยู่ในส่วนที่ขาดแคลนมากกว่า
ในขณะเดียวกันธนาคารก็จะต้องมีแผนเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางการเงินอย่างประกันชีวิตให้มีความหลากหลายมากขึ้น เนื่องจากการขายประกันผ่านช่องทางธนาคาร (แบงก์แอสชัวร์รันส์)ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเติบโตค่อนข้างมาก สามารถทำรายได้ให้กับธนาคารเป็นอย่างดี ล่าสุด ได้มีการหารือกับทางบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด บริษัทในเครือธนาคารกสิกรไทย ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่ๆและตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น
นอกจากนี้ ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นเห็นชอบในการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2560 ในอัตราที่ 4 บาท ช่วงปีที่ผ่านมาธนาคารได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.50 บาท คิดเป็นเม็ดเงิน 1,097 ล้านบาท ดังนั้น เงินปันผลที่เหลือ 3.50 บาท คิดเป็นเม็ดเงินรวม 8,736 ล้านบาท ซึ่งจะมีการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในวันที่ 30 เม.ย.2561 นี้ และจะปิดสมุดรายชื่อผู้ถือหุ้นในวันที่ 12 เม.ย.2561 ทั้งนี้ ธนาคารได้แต่งตั้ง นายพัชร สมะลาภา เป็นกรรมการผู้จัดการ และแต่งตั้ง นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร เป็นกรรมการอิสระ
ส่วนกรณีที่ประชุมผู้ถือหุ้นไม่เห็นชอบกรอบการดำเนินการขยายธุรกิจโดยวิธีการเข้าซื้อหรือร่วมทุนในกิจการวงเงินไม่เกิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นายบัณฑูร กล่าวว่า แผนการลงทุนดังกล่าว เป็นการขยายธุรกิจบริการทางการเงินในภูมิภาค AEC+3 เพื่อสร้างจุดยืนทางการตลาดและการเติบโตของรายได้ ในเมื่อแผนงานดังกล่าวไม่ได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น ธนาคารจำเป็นต้องลงทุนในรูปแบบอื่นแทน