xs
xsm
sm
md
lg

บิ๊กตู่ลงพื้นที่ปัตตานีกำชับ5ยุทธศาสตร์ปั้นราคายาง-ปาล์ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน360- "บิ๊กตู่" ลงพื้นที่ จ.ปัตตานี ติดตาม เร่งรัด การพัฒนาศก. และสังคม ชายแดนภาคใต้ ตามแนวทาง"สังคมพหุภาคี" ที่ต้องอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข แนะปรับลดโครงการขนาดใหญ่ ขยายสนามบิน ท่าเรือ เพื่อสำเร็จเร็วขึ้น ใน1-2 ปี พร้อมเร่งแก้ปัญหา ยางพารา ปาล์ม ก่อนการเลือกตั้งจะมาถึง


เมื่อเช้าวานนี้ (4 เม.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.พร้อมคณะเดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการและติดตามงานตามนโยบายของรัฐบาล ที่จ.ปัตตานี โดยภารกิจแรกของนายกฯคือไปเป็นประธาน พิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 13 “ลูกเสือรวมพลัง ทำความดี รู้รักสามัคคี เทิดทูนสถาบัน เชื่อมสัมพันธ์สู่อาเซียน” ที่สนามกีฬากลางจังหวัดปัตตานี โดยมีลูกเสือเข้าร่วมกว่า 4,000 คน

ทั้งนี้ นายกฯได้ทำพิธี เปิดกรวยดอกไม้ สักการะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และรับฟังรายงาน จากผู้บังคับการค่ายงานชุมนุมฯ ผู้บังคับบัญชาลูกเสืออาวุโส นำลูกเสือกล่าวคำปฏิญาณ จากนั้นนายกฯ กล่าวเปิดงานชุมนุมลูกเสือฯว่า กิจการลูกเสือ และเนตรนารี ถือว่าเป็นกิจกรรมด้านการศึกษาที่มีเกียรติและเป็นที่ยอมรับในสังคมโลกว่า เป็นผู้มีระเบียบวินัย มีความซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน ยินดีช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ โดยลูกเสือทุกคน จะยึดถือคำปฏิญาณ และกฎของลูกเสือเป็นแนวปฏิบัติอย่างมีเกียรติ ลูกเสือมีหน้าที่อันหลากหลาย ได้แก่

หน้าที่ต่อชาติ ลูกเสือจะต้องรู้รักสามัคคี และช่วยสอดส่องดูแลเป็นหูเป็นตาให้แก่ราชการต่อภัยคุกคามความมั่นคงของชาติทุกรูปแบบ หน้าที่ต่อศาสนา ไม่ว่าลูกเสือจะนับถือศาสนาใดๆ ขอให้ระลึกและเข้าใจว่า ทุกศาสนาต่างก็มีความมุ่งหมายอย่างเดียวกันคือ สอนให้บุคคลเป็นคนดี ได้แก่ การละเว้นความชั่ว กระทำความดี และทำใจให้ผ่องใสบริสุทธิ์ หน้าที่ต่อพระมหากษัตริย์ การแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นหน้าที่อันสำคัญของลูกเสือทุกคน ต่อสถาบันอันเป็นที่เคารพรัก และเทิดทูนอย่างสูงสุด ของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ หน้าที่ด้านการช่วยเหลือผู้อื่น การบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นหลักสำคัญประการหนึ่งของลูกเสือ ที่ได้รับการยกย่องจากประชาชนทั่วไป

งานชุมนุมลูกเสือในครั้งนี้ นอกจากจะมีลูกเสือเนตรนารีจากภูมิภาคต่างๆ ของไทยแล้ว ยังมีลูกเสือจากประเทศเพื่อนบ้าน และลูกเสือจากต่างประเทศ มาร่วมงานด้วย จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่พวกเราจะได้ศึกษาขนบธรรมเนียม ประเพณีของเพื่อนบ้านแต่ละประเทศ ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมระหว่างกัน ได้เชื่อมความสัมพันธ์อันดี ตลอดจนได้มีโอกาสแสดงถึงไมตรีจิตของคนไทยด้วย จากนั้นนายกฯ ทำพิธีจุดพลุ เปิดงาน และลูกเสือทำพิธีเดินสวนสนาม

** กำชับ5ยุทธศาสตร์พัฒนาพื้นที่

ต่อมาเวลา 11.00 น. นายกฯ ได้เป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ที่ห้องประชุมพญาตานี ชั้น 4 ศาลากลาง จ.ปัตตานี โดยมีรองนายกฯ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง หัวหน้าส่วนราชการ ตัวแทนภาคเอกชน ผู้บริหารส่วนท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกรในพื้นที่ภาคใต้ชายแดนเข้าร่วม

โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่ชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะ จ.ปัตตานี เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพต้องพัฒนาเชื่อมโยงไปสู่จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ลดความเหลื่อมล้ำ และเกิความปรองดองและความสงบในพื้นที่ต่อไป

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้นำเสนอ โครงการสำคัญ ดังนี้ 1. ความก้าวหน้าการดำเนินงานขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”โดยนายกฯ รับทราบความก้าวหน้า การขยายกำลังการผลิตปาล์มน้ำมัน การพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปมะพร้าว 2. การบริหารจัดการด้านพลังงานใน 3 จว.ชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าชีวมวล การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าโดยชุมชน ซึ่งนายกฯ ได้สั่งการให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านระบบไฟฟ้าของพื้นที่ และสามารถพึ่งพาตนเองได้ 3. ผลการดำเนินงานด้านคมนาคม (ท่าเทียบเรือปัตตานี/ท่าอากาศยานเบตง) 4. การดำเนินงานด้านการท่องเที่ยว ด้วยการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชน แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์ด้านรายได้โดยตรง รวมทั้งการเชื่อมต่อ การพัฒนาการท่องเที่ยวควบคู่กับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในพื้นที่ด้วย 5. ผลการดำเนินงานยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษา ให้เปิดการเรียนการสอนหลักสูตร 2 ภาษา รวมทั้งส่งเสริมให้มีโรงเรียนประจำในพื้นที่ และทำให้ได้โดยเร็ว

หลังการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้ประชุมร่วมกับ 3 ผู้ว่าฯ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อติดตามงานที่สั่งไป ก็มีความคืบหน้าไปพอสมควร ตนได้เน้นย้ำ ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว โครงการขนาดใหญ่อาจต้องปรับให้เล็กลงบ้าง ตามที่งบประมาณมีอยู่ บางโครงการในระยะเวลา 5 ปี ถ้ารอ 5 ปีอาจช้าเกินไป ต้องดูว่าระยะในปีที่ 1 และ 2 จะทำอะไรให้เกิดขึ้นได้บ้าง เช่น การขยายสนามบิน การขยายที่พักผู้โดยสาร การขยายท่าเรือ นอกจากนี้ยังมีเรื่องสินค้าเกษตรที่มีปัญหา เช่น ปาล์ม ยางพารา เรื่องโรงไฟฟ้า เรื่องพลังงาน นอกจากนี้ยังมีเรื่องปัญหายาเสพติด ค้าของเถื่อน ที่ต้องปราบปราม อย่างเข้มงวด ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งมาทางศูนย์ดำรงธรรมได้

** เดินหน้าพูดคุยสันติสุข ลดความรุนแรง

นายกฯ ยังกล่าวถึงเรื่องปัญหาความมั่นคง ว่ามีการพูดคุยสันติสุข ซึ่งเราก็พร้อมจะคุยกับทุกคน อย่างที่ผ่านมา ในสมัยสงครามเย็น เราแก้ปัญหาเรื่องของคอมมิวนิสต์ มีกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย งานในส่วนของการส่งคนกลับบ้าน ก็เป็นหน้าที่ของ กองทัพภาค 4 ก็เป็นเรื่องของคนไทยที่หลงผิดไป เราก็ต้องเข้าไปดูแลในเรื่องของชีวิต และทรัพย์สิน ให้มีความปลอดภัยให้ เขาก็กลับมาเป็นคนไทยที่สมบูรณ์ที่ไม่ไปรวมมือกับอีกฝ่าย ซึ่งทางโอไอซีที่เข้ามา เขาก็พอใจ เขาบอกว่าประเทศไทยดูแลคนมุสลิม ดีกว่าประเทศมุสลิมบางประเทศเสียอีก ก็แสดงว่าเราเริ่มทำงานได้ดีแล้ว

ต่อมา นายกฯ และคณะได้เดินทางไปที่ วัดทรายขาว อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี โดยนายกฯ เข้าสักการะพระประธาน และ นมัสการ พระครูปราโมท ศรีตะคุณ เจ้าอาวาสวัดทรายขาว ณ อุโบสถมหาอุตม์ พร้อมกล่าวกับเจ้าอาวาสว่า จำตนได้หรือไม่ เคยมาตั้งแต่สมัยเป็น ผบ.ทบ. ได้ข่าวว่าวัดทรายขาว เป็นสังคมที่เรียบร้อย ประชาชนอยู่ร่วมกันเป็นอย่างดี ไม่มีความขัดแย้ง เพราะมีหลวงพ่อเป็นผู้นำ มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเข้มแข็ง หากมีอะไรให้บอก เดี๋ยวตนจะพัฒนาให้เร็วขึ้น ที่ผ่านมารัฐบาลเขาทำช้า จึงทำให้เกิดเรื่องความแตกต่าง ความเหลื่อมล้ำ ขณะที่เจ้าอาวาส ได้มอบพระ หลวงพ่อทวด วัดทรายขาว ให้แก่นายกฯ พร้อมกันนี้นายกฯได้สักการะหลวงพ่อทวดสิทธิชัย หลวงพ่อทวด และหลวงพ่อทวดหมาน ณ วิหาร 3 ทวด

จากนี้นนายกฯได้มอบอุปกรณ์กีฬาให้แก่ตัวแทนนักเรียนของโรงเรียนในพื้นที่ จำนวน 5 โรงเรียน พร้อมทักทายกับชาวบ้าน แนะนำในพื้นที่ห่างไกลให้ใช้การศึกษา กศน. และแนะนำครูนำระบบไอที มาใส่ในศูนย์ กศน.ด้วย

**พบปะพี้น้องมุสลิมร่วมพิธีขอดูอาร์

จากนั้น นายกฯได้เดินทางไปที่ ที่อาคารเอนกประสงค์ มัสยิดนัจมุดดีน จ.ปัตตานี เพื่อพบปะ ประชาชนบ้านควนลังงา ซึ่งเป็นชุมชนสองวิถี สังคมพหุวัฒนธรรม จำนวน 300 คน โดยมี นายดลฮาฟ สาหลำสุหรี (อิหม่าม) และ นายอาดัม บาเหมบูงา ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 4 กล่าวต้อนรับ โดยนายกฯกล่าวว่า การเดินทางมาวันนี้เพื่อพัฒนาพื้นที่ ซึ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีร้อยกว่าโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่ ขอให้ชุมชนรวมกลุ่มในการดำเนินโครงการตามประชารัฐ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง ช่วยกันตรวจสอบในการใช้จ่ายงบประมานในพื้นที่เพื่อความโปร่งใส

ทั้งนี้ นายกฯ ได้ถามประชาชนที่มาต้อนรับว่า เดือดร้อนกับคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 หรือไม่ ที่พรรคการเมืองเรียกร้องให้ปลดล็อกกันอยู่ ประชาชนมีใครเดือดร้อน หรือไม่

"ตกลงเดี๋ยวผมจะตอบเขาว่า ยังไม่ปลดล็อก มันถึงเวลาผมก็ปลดให้ทันตามกระบวนการ ทำธุรการได้ มันจะมีปัญหาอะไรนักหนา เข้าใจไหม ได้ทุกอย่าง คือประชาชนจะได้ แต่อาจจะมีคนไม่ได้อยู่ มันก็เลยมีปัญหา ผมไม่ทะเลาะกับใคร ผมไม่ได้มาหาเสียง นี่ขอเสียงหรือยัง ไม่ได้ ผมทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะหาเสียงเป็นเรื่องกระบวนการประชาธิปไตย แต่ต้องมีหลักการที่ถูกต้อง รัฐบาลต้องมีธรรมาภิบาล จะให้ตรงนั้น ตรงนี้ แล้วให้ไหม ให้นิดๆ หน่อยๆ ให้แล้ววันหน้าก็ไปต่อ ชอบใคร ก็เดี๋ยวค่อยมาต่อให้วันหน้า ทำถนนเสร็จ ก็ขาดสะพานไว้หน่อยไม่ได้ วันนี้รัฐบาลไม่ทำแบบนั้น ดูทุกคน
ดูทุกภาค ว่าเดือดร้อนอย่างไร"

จากนั้น นายกฯ เยี่ยมชมมัสยิดโบราณ 300 ปี เข้าร่วมพิธีขอดูอาร์ หรือ พิธีให้พร โดยมี นายดลฮาฟ ฮาฟ สาหลำสุหรี (อิหม่าม) เป็นผู้นำในการทำพิธี พร้อมกันนี้ นายกฯได้ดูคัมภีร์อัลกุรอาน ที่มีอายุเก่าแก่กว่าพันปี โดยอิหม่าม ได้แปลคัมภีร์ให้นายกฯฟัง นายกฯถามว่า " มีกฎข้อไหนใช้ความรุนแรงไหม ไม่รู้พวกนั้นมาอ้างจากไหน คัมภีร์ไหนไม่รู้ ฝากด้วยนะ"

ทั้งนี้ นายกฯได้ถ่ายภาพหมู่ร่วมกับคณะกรรมการมัสยิดนัจมุดดีน ก่อนเดินทางกลับ กรุงเทพฯ


กำลังโหลดความคิดเห็น