คลิปดังที่ถูกแชร์ว่อนเมื่อ 2-3 วันก่อน ระบุทหารอ้างมาตรา 44 พกปืนบุกโรงแรมในภูเก็ต ข่มขู่ผู้บริหาร มีพฤติกรรมรีดไถ จนทหารต้องตกเป็นจำเลยของสังคม
แต่เพียงข้ามคืน สถานการณ์พลิกกลับ โดยผู้บริหารโรงแรมที่แสดงความห้าว มีท่าทีก้าวร้าว กลายเป็นจำเลยสังคมแทน โดยตำรวจที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์ผู้บริหารโรงแรมกลายเป็นจำเลยร่วม
คลิปที่ถูกนำเผยแพร่ในโลกโซเชียล จงใจทำให้สังคมเชื่อว่า ทหารที่บุกเข้าไปพบผู้บริหารโรงแรม เป็นผู้ร้าย ใช้อำนาจคุกคามประชาชน แต่การตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นของกองทัพภาคที่ 4 ระบุว่า ทหารที่ปรากฏในคลิปปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง
และในคลิปไม่ปรากฏพฤติกรรมทหารข่มขู่หรือรีดไถแต่อย่างใด
เจ้าของโรงแรมเสียอีกที่แสดงความกราดเกรี้ยว ข่มขู่ทหาร กร่างคับภูเก็ต
ตำรวจ 2 นายที่เดินตามหลัง เหมือนมือปืนคุ้มกันผู้บริหารโรงแรมนั้น ถูกคำสั่งย้ายและถูกตั้งกรรมการสอบสวนแล้ว และต้องตามติดต่อไปว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเล่นงานตำรวจที่มีพฤติกรรมนอกลู่นอกทางหรือไม่
เบื้องหลังเหตุการณ์กระทบกระทั่งระหว่างทหารกับเจ้าของโรงแรมในภูเก็ต เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 มีนนาคมที่ผ่านมา โดยศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต ได้รับการร้องเรียนจากพนักงานโรงแรมป่าตอง พารากอน ว่า ถูกนายวิศิษฐ์ เอี่ยมวิโรจน์ฤทธิ์กรรมการผู้บริหารโรงแรมและพวกข่มขู่กดดันให้ออกจากการเป็นพนักงานโรงแรม จึงเกิดความกลัว
ร.ต.วัฒนชัย คล่องประดิษฐ์ หัวหน้าชุดรักษาความสงบเรียบร้อย กรมทหารราบที่ 25 ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประสานกับผู้บริหารโรงแรม เพื่อแจ้งว่าพ.ท.สุรศักดิ์ พึ่งแย้ม คณะทำงานชุดเฉพาะกิจกองทัพภาคที่ 4 จะเข้าพบเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงตามที่ได้รับการร้องเรียน
เพราะพฤติกรรมที่นายวิศิษฐ์ถูกร้องเรียน เข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพล เป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อย แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากนายวิศิษฐ์และพวก
คลิปที่ถูกนำเผยแพร่พยายามชี้นำว่า ทหารลุแก่อำนาจ ข่มขู่รีดไถ โดยนายวิศิษฐ์เป็นผู้ถูกกระทำ แต่หลังจากกองทัพภาคที่ 4 ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง กระแสสังคมที่ตัดสินทหารเป็นผู้ร้ายได้เปลี่ยนไปในทันที
เพราะถ้าดูคลิป จะเห็นว่า นายวิศิษฐ์และพวกมีพฤติกรรมเข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพลตามที่ประชาชนร้องเรียน และเป็นฝ่ายที่ข่มขู่ทหารมากกว่า
การตรวจสอบผู้มีอิทธิพลตามที่มีผู้ร้องเรียนในจังหวัดภูเก็ต ไม่ได้นำไปสู่ข้อพิพาทระหว่างทหารกับผู้บริหารโรงแรมป่าตอง พารากอนเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงพฤติกรรมของตำรวจในพื้นที่อีกด้วย
นายวิศิษฐ์ผู้บริหารโรงแรมป่าตอง พารากอน มีพฤติกรรมเข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพลหรือไม่ สังคมที่ได้ดูคลิป ได้เห็นพฤติกรรมความก้าวร้าว คงตัดสินไปแล้ว
แต่สิ่งที่สังคมกำลังตั้งคำถามถึง 2 ตำรวจที่เดินตามคุ้มกันนายวิศิษฐ์ว่า ตามคุ้มกันในฐานะอะไร อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ และรับไซด์ไลน์เป็นการ์ดให้มาเฟียในภูเก็ตหรือไม่
ผู้กว้างขวาง ผู้มีอิทธิพลหรือมาเฟียในทุกพื้นที่ ถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐทำตัวเป็นลูกสมุนรับใช้ จะเป็นได้แค่แมวเชื่องๆ
ผู้บริหารโรงแรมภูเก็ตที่อาละวาดทหาร ถ้าไม่มีตำรวจหนุนหลัง คงไม่กล้าแสดงความเหิมเกริม กร่างคับภูเก็ต
ตำรวจ 2 นายที่ทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์ผู้กว้างขวาง ทำให้พ.ท.สุรศักดิ์ และชุดทหารที่เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงบุคคลที่มีพฤตกรรมเป็นมาเฟียต้องเสียหน้า และเกือบพลาดท่าตกเป็นผู้ร้ายเสียเอง
ทหารที่มีอำนาจ นายทหารใหญ่ที่แอบย่องไปสานสัมพันธ์กับผู้มีอิทธิพลในหลายพื้นที่ ไม่รู้สึกระอายใจบ้างหรือที่เอาศักดิ์ศรีของกองทัพไปสยบกับผู้มีอิทธิพลหรือเจ้าพ่อในจังหวัดต่างๆ
ไม่รู้สึกเจ็บช้ำแทนผู้ใต้บังคับบัญชาหรือน้องๆ ทหารที่ถูกมาเฟียจัดฉากประจานบ้างหรือ
ทหารที่ลุแก่อำนาจ ทำตัวเป็นผู้กว้างขวาง ใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์ และคบกับเจ้าพ่อยังมีอยู่ แต่ไม่ใช่ทหารชุดที่เข้าไปตรวจสอบบุคคลที่มีพฤติกรรมเป็นมาเฟียในจังหวัดภูเก็ต
ทหารไม่ได้ถูกไปทั้งหมด ไม่ได้ทำดีในทุกเรื่อง โดยทหารไม่ดีต้องถูกประณาม แต่ทหารชุดเฉพาะกิจกองทัพภาคที่ 4 ที่เข้าไปตรวจสอบผู้มีอิทธิพลในโรงแรมป่าตอง พารากอน งานนี้ไม่มีข้อตำหนิใดๆ เพราะปฏิบัติงานตามหน้าที่
แต่ตำรวจ 2 นายที่คุ้มกันบุคคลที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายเป็นมาเฟีย และอยู่ในข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ต้องรอดูว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะช่วยปกป้องพวกพ้องคนสีเดียวกันหรือไม่
เกือบ 4 ปีที่ผ่านมา ทหารหรือรัฐบาลทหาร ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามว่า ไม่กล้าแหยมกับตำรวจ ไม่กล้าแม้กระทั่งปฏิรูปตำรวจ ทั้งที่ประชาชนทั้งประเทศเรียกร้อง
ตำรวจ 2 นายที่แสดงตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์ผู้บริหารโรงแรมป่าตอง พารากอน ทำให้นายทหารที่ตรวจสอบบุคคลที่อาจเข้าข่ายเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยถูกย่ำยี ต้องเสียหน้า และต้องถอยทัพกลับกรมกอง
ทหารที่มีอำนาจ ทหารชั้นผู้ใหญ่ ไม่รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาวกับพฤติกรรมตำรวจบ้างหรือ และจนป่านนี้ คิดได้หรือยังว่า การปฏิรูปตำรวจมีความจำเป็นเพียงใดต่อความสงบสุขของสังคม