xs
xsm
sm
md
lg

“Solar God Parity”: เมื่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์บนหลังคาถูกกว่าค่าสายส่ง!

เผยแพร่:   โดย: ประสาท มีแต้ม

คำว่า “Solar God Parity” เป็นศัพท์ที่บัญญัติโดยนักวิชาการของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดคนหนึ่งที่ชื่อ Tony Seba ผู้เขียนหนังสือ “Clean Disruption of Energy and Transportation” ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก (พิมพ์ปี 2557)

Tony Seba เคยได้รับเชิญจากสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยให้มาบรรยายที่กรุงเทพฯ ในโอกาสครบรอบ 30 ปีของสถาบันเมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 ในหัวข้อเดียวกันกับชื่อหนังสือของเขา แต่ได้เพิ่มเติมให้ชัดเจนขึ้นว่า “ทำไมระบบพลังงานและระบบการขนส่งในปัจจุบันจะเป็นสิ่งล้าสมัยภายในปี 2030”

ผมเองได้ติดตามการบรรยายของคุณ Tony Seba ทางอินเทอร์เน็ตหลายสิบรอบ แต่ละครั้งเขาจะพูดเกือบเหมือนเดิม ใช้สไลด์ชุดเดิม ภาพที่ผมนำมาเสนอข้างล่างนี้เป็นการบรรยายที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ เมื่อเดือนมีนาคม 2559 ก่อนที่กรุงเทพฯ เล็กน้อย

ประเด็นที่ผมจะนำมาอธิบายก็คือ Solar God Parity แต่ก่อนจะถึงคำนี้ต้องขออนุญาตพูดถึงคำว่า “Solar Grid Parity” ก่อน

Solar Grid Parity หมายถึงสถานะที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์บนหลังคามีราคาถูกกว่าหรือเท่ากับราคาที่เจ้าของบ้านซื้อจากสายส่งไฟฟ้า โดยราคาที่ซื้อจากสายส่งไฟฟ้าประกอบด้วย 2 ส่วน คือ (1) ค่าการผลิตทั้งหมดและ (2) ค่าสายส่งรวมค่าบริการ (คำว่า Parity แปลว่าเท่ากันหรือเทียบเท่า และ Grid คือระบบสายส่งไฟฟ้า)

ในประเทศออสเตรเลีย Solar Grid Parity หรือเรียกสั้นๆ ว่า Grid Parity ได้เกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ปี 2555 และจนถึงปี 2558 ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ผลิตเองจากหลังคาได้ลดต่ำลงอย่างรวดเร็วเหลือประมาณ 1 ใน 3 ของค่าไฟฟ้าที่ซื้อจากสายส่ง (http://reneweconomy.com.au/why-god-parity-will-be-the-end-of-centralised-generation-51446/)

ในประเทศไทยเรา ไม่ได้มีการแบ่งต้นทุนหรือราคาตามที่ได้กล่าวมาแล้วอย่างชัดเจน แต่จากรายงานประจำปี 2559 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ. หน้าที่ 119) พบว่า กฟผ.ขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในปี 2558 และ 2559 ในราคาเฉลี่ย 2.97 และ 2.67 บาทต่อหน่วย ตามลำดับ ราคาดังกล่าวเป็นราคาที่รวมของค่าการผลิตและค่าระบบสายส่งบางส่วน(แต่ไม่ใช่ค่าระบบสายส่งทั้งหมดและไม่ใช่ค่าบริการของ กฟภ.และ กฟน.)

ในประเทศเยอรมนี ปี 2558 ค่าไฟฟ้าขายปลีกราคาหน่วยละ 11.51 บาท เป็นค่าการผลิต 2.87 บาท และค่าสายส่งและบริการ 2.69 บาท ที่เหลือเป็นค่าภาษี (ข้อมูลจาก Euro Stat) นั่นคือ ค่าการผลิตไฟฟ้าในประเทศเยอรมนีไม่ได้แพงมากเหมือนที่บางคนยกมาโจมตีข้อด้อยของพลังงานหมุนเวียน

ข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญมากสำหรับคนไทยครับ เพราะว่ามีกระแสข่าวว่ากระทรวงพลังงานมีแนวคิดจะรับซื้อไฟฟ้าจากหลังคาในราคาที่ต่ำกว่าราคาขายส่ง โดยมีตัวเลขประมาณ 2.40 บาทต่อหน่วย แต่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน ที่รัฐบาลแต่งตั้งได้มีแนวคิดที่จะไม่รับซื้อเลยไม่ยอมให้ใช้สายส่งร่วม โดยอ้างเหตุผลแบบเด็กเกเรว่า “เพื่อให้เสรีอย่างแท้จริง”

คุณ Tony ได้พยากรณ์ว่า Grid Parity จะเกิดขึ้นประมาณ 80% ของโลกภายในปี 2560 (รวมทั้งในประเทศไทยเราด้วย-ความเห็นของผมเอง)

คราวนี้มาถึง Solar God Parity หรือ God Parity ครับ

God Parity เป็นสถานการณ์ค่าไฟฟ้าที่ผลิตเองจากหลังคามีราคาต่ำกว่าค่าสายส่งและค่าบริการ

นั่นหมายความว่า เป็นสถานการณ์ที่ต่อให้ค่าการผลิตไฟฟ้าเท่ากับศูนย์ (หรือได้มาฟรีๆ ราวกับพระเจ้ามอบให้) ค่าไฟฟ้าที่เราผลิตเองจากหลังคาก็ยังคงถูกกว่าค่าสายส่งและค่าบริการรวมกัน สถานการณ์เช่นนี้จะนำไปสู่การล่มสลายของบริษัทผลิตไฟฟ้าและระบบสายส่งที่รวมศูนย์


คุณ Tony Seba ได้พยากรณ์ว่า God Parity จะเกิดขึ้นทั่วไปส่วนใหญ่ในโลกภายในปี 2563 อีก 2 ปีเท่านั้นเอง

ในการบรรยายครั้งนั้นคุณ Tony ยังได้พยากรณ์ว่า “ภายในปี 2565 ค่าไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์บนหลังคาบวกกับค่าแบตเตอรี่ ซึ่งทำให้เราสามารถใช้ไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมงจะเป็น God Parity”

ผมได้ใช้ข้อมูลของคุณ Tony เพื่อคำนวณต้นทุนต่อหน่วยไฟฟ้าในการเก็บไฟฟ้าลงแบตเตอรี่ ได้ผลดังภาพข้างล่างครับ

นั่นคือ ในปี 2020 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า ต้นทุนในการเก็บไฟฟ้าลงแบตเตอรี่ประมาณ 1.20 บาทต่อหน่วย และจะลดลงมาเหลือ 0.69 บาทต่อหน่วยในปี 2023

ที่กล่าวมาแล้วเป็นการพยากรณ์เมื่อปี 2559 เรามาดูของจริงที่เกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกากันบ้าง เมื่อเดือนมกราคมปี 2561 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแห่งรัฐฯ ได้ออกคำสั่งให้บริษัท Pacific Gas & Electric Co (PG&E) ใช้แบตเตอรี่แทนโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติซึ่งใช้งานในช่วงพีค เพราะการใช้แบตเตอรี่จะมีต้นทุนถูกกว่า เนื่องจากว่าโรงไฟฟ้าประเภทนี้ (Peaker) จะได้เดินเครื่องประมาณปีละ 100-300 ชั่วโมงเท่านั้น (http://reneweconomy.com.au/solar-plus-storage-spells-doom-for-gas-peakers-24726/)

ขออีกนิดครับ เมื่อปี 2560 ชาวออสเตรเลียได้ติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาจำนวน 1.7 แสนหลัง ในจำนวนนี้ประมาณ 12% ได้ติดตั้งแบตเตอรี่พร้อมไปด้วย และคาดว่าในปี 2018 จะมีการติดแบตเตอรี่จำนวน 33,000 หลัง (Giles Parkinson, http://reneweconomy.com.au/solar-battery-installs-reach-33000-2018-economics-improve-89443/)

ผมได้เคยเล่ามาครั้งหนึ่งแล้วว่า การมีแบตเตอรี่เก็บไฟฟ้าในอนาคตอันใกล้นี้จะเป็นเรื่องปกติเหมือนกับการมีตู้เย็นไว้เก็บอาหาร นี่คือทิศทางของโลกที่เกิดขึ้นแล้วในหลายที่ของโลก แต่กระทรวงพลังงานของไทยรวมทั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน กำลังใช้อำนาจเพื่อต่อต้านการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในขณะที่ปากก็ท่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ถามจริงๆ เถอะ ระหว่างการใช้พลังงานที่เรามีเองและกระจายตัวอยู่ทั่วทุกหัวระแหงกับการนำเข้าพลังงานไม่ว่าจะเป็นก๊าซธรรมชาติหรือถ่านหิน อย่างไหนจะมีความพอเพียง มั่นคง และยั่งยืนมากกว่ากัน

อ้อ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้สอนให้เราร่วมรับผิดชอบต่อโลกด้วยนะขอรับ!



กำลังโหลดความคิดเห็น