xs
xsm
sm
md
lg

ศึกการค้าจีน-สหรัฐฯ เขย่าบัลลังก์สี จิ้นผิง

เผยแพร่:   โดย: นพ นรนารถ


เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จรดปากกาเซ็นชื่อในคำสั่งตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา สายตาของชาวโลกก็จับจ้องมองไปที่พญามังกร สี จิ้นผิง ประธานาธิบดี ผู้นำสูงสุดของจีนว่า จะรับมือกับคำท้ารบของพญาอินทรีอย่างไร

สี จิ้นผิง เพิ่งจะสถาปนาตัวเองเป็นผู้นำตลอดกาล และผู้นำสูงสุดของจีน หลังจากที่ประชุมสมัชชาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน รับรองการแก้ไขรัฐธรรมนุญ โดยให้ยกเลิกการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 2วาระรวม 10 ปี เท่ากับให้สี จิ้นผิง ซึ่งครบเทอมการดำรงตำแหน่งวาระแรก เมื่อสิ้นปีที่แล้ว เป็นประธานาธิบดีต่อไปได้ไม่มีหมดอายุ ไม่ต้องลงจากเก้าอี้เมื่อครบวาระ 2 ในปี 2565 หลังยุคเหมา เจ๋อตุง เติ้ง เสี่ยวผิง ได้สร้างระบบการนำรวมหมู่ที่จัดสรรอำนาจหน้าที่การบริหารประเทศด้านต่างๆ กระจายไปในหมู่กรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน แยกบทบาทระหว่างพรรคกับรัฐบาล และจำกัดอายุการเป็นผู้นำประเทศไม่เกินสองวาระเพื่อป้องกันการผูกขาดสืบทอดอำนาจ ดังเช่นยุคเหมา

ระบบการนำรวมหมู่ซึ่งใช้กันมานานกว่า 3 ทศวรรษ ถูกแทนที่ด้วยระบบรวมศูนย์อำนาจในยุคผู้นำรุ่นที่ 5 สี จิ้นผิง ที่ยึดครองตำแหน่งสำคัญๆ นอกจากเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ และประธานาธิบดีไว้กับตัวเองเพียงคนเดียว แก้ไขรัฐธรรมนูญให้ตัวเองอยู่ในอำนาจตลอดไป รวมทั้งบัญญัติให้ความคิด สี จิ้นผิง เป็นอุดมการณ์ชี้นำ เทียบเท่าลัทธิมาร์กซ์ ความคิดเหมา และทฤษฎีเติ้ง

สัญญาณท้ารบ ประกาศสงครามการค้าจากทำเนียบขาว เป็นความท้าทายแรกที่สี จิ้นผิง ในฐานะผู้นำสูงสุด หากตัดสินใจผิดพลาด ย่อมสั่นสะเทือนบัลลังก์แห่งอำนาจโดยมิอาจตำหนิติเตียนใครได้ เพราะการตัดสินใจใดๆ ไม่ได้อยู่ภายใต้ระบบการนำรวมหมู่แล้ว แต่เป็นการตัดสินใจของผู้นำสูงสุดเพียงคนเดียว

ปัญหาความขัดแย้งเรื่องการค้า การลงทุนระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มีมานานหลายยุคหลายสมัย แต่ที่ผ่านมา มักจะเป็นสงครามน้ำลายที่สาดใส่กัน เรื่องใดที่หนักหนายอมกันไม่ได้ ก็นั่งลงเจรจากัน หรือฟ้ององค์การการค้าโลกให้เป็นคนกลางตัดสินข้อพิพาท ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ เอาจริง เล่นแรง เผชิญหน้ากับจีนตรงๆ เพราะนโยบายด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในยุคทรัมป์ ที่ไม่ต้องการเป็นผู้นำลัทธิตลาดเสรี โลกาภิวัตน์อีกต่อไป แต่ใช้นโยบาย ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ต้องมาก่อน ตั้งกำแพงภาษีปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ

จีนได้ประโยชน์จากการเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกตั้งแต่ปี 2001 และลัทธิการค้าเสรีที่สหรัฐฯ เป็นผู้นำส่งสินค้าเข้าไปขาย และเข้าไปลงทุนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งสหรัฐฯ จนได้เปรียบดุลการค้าจำนวมหาศาล แต่กลับใช้วิธีที่ขัดกับหลักตลาดเสรี ปกป้องผลประโยชน์ของตน เช่น การอุดหนุนราคา การกีดกันการลงทุนจากประเทศต่างๆ ในบางอุตสาหกรรม เช่น การเงิน เทคโนโลยีการสื่อสาร การกำหนดเงื่อนไขการเข้าไปลงทุนในจีนที่ต้องร่วมทุนกับผู้ประกอบการจีน ซึ่งสหรัฐฯ และหลายๆ ประเทศคู่ค้ามองว่า เป็นพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม

ในยุคที่โลกกลับตาลปัตร สหรัฐฯ ใช้ลัทธิกีดกันปกป้องการค้า จีนประกาศตัวเป็นผู้นำโลกาภิวัตน์ สี จิ้นผิง พยายามใช้วิธีเจรจากับสหรัฐฯ แก้ปัญหาข้อขัดแย้ง แต่โดนัลด์ ทรัมป์ ยื่นคำขาดให้จีนต้องลดการเกินดุลการค้าลงทันที 100 พันล้านเหรียญ จากยอดเกินดุลทั้งหมด 370 พันล้านเหรียญ ซึ่งยากที่จีนจะยอมทำตาม จึงเป็นที่มาของ การใช้ยาแรงของโดนัลด์ ทรัมป์

คำสั่งตั้งกำแพงภาษียังไม่มีผลทันที สหรัฐฯ มีบัญชีรายชื่อสินค้าจีนราวๆ 1,300 รายการที่จะโดนกำแพงภาษี แต่จะประกาศรายชื่อชัดๆ ภายใน 15 วันนับจากวันที่ ทรัมป์ เซ็นคำสั่ง และจะให้ผู้ประกอบการสหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมต่างๆ เสนอมาว่า สินค้าใดหากตั้งกำแพงภาษีแล้ว จะมีผลเสียกับอุตสาหกรรมนั้นๆ ภายใน 30 วัน หลังจากนั้น กำแพงภาษีจะมีผลบังคับใช้

เงื่อนเวลา 30 วันนี้ จึงเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายจะเจรจากัน เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้า จีนนั้นประกาศแล้วว่า พร้อมจะเข้าสู่สงคราม แม้ว่าไม่ต้องการ แต่จะไม่นั่งเฉยๆ ให้สหรัฐฯ กระทำฝ่ายเดียว ทูตจีนประจำสหรัฐฯ ประกาศว่า จีนพร้อมจะเล่นแรงกับสหรัฐฯ และให้คอยดูแล้วกันว่า ใครจะยืนระยะได้ยาวกว่ากัน

สำหรับสี จิ้นผิง ถอยไม่ได้อยู่แล้ว แม้แต่ก้าวเดียว เพราะมันคือความอ่อนแอของผู้นำ สำหรับคนจีนแล้ว เขาประเมินความเป็นผู้นำของชาติ ที่ท่าทีต่อสหรัฐอเมริกา ในทุกๆ เรื่อง ถ้าสียอมอ่อนข้อให้ สถานะผู้นำสูงสุดของเขาย่อมสั่นคลอนแน่ แต่ถ้าเดินหน้าชนตั้งกำแพงภาษีสินค้าเกษตรที่จีนเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดจากสหรัฐฯ อย่างถั่วเหลือง ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ฯลฯ ความเสียหายย่อมเกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย และ ประเทศอื่นๆ ก็จะถูกลูกหลงไปด้วย เข้าทำนอง ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญไปด้วย

แม้ว่า จีนจะเตรียมตัวรับมือสงครามการค้ากับสหรัฐฯ มาพักหนึ่งแล้ว โดยลดการพึ่งพาการส่งออก เน้นการบริโภคภายในประเทศแทน ปีที่แล้วสัดส่วนการส่งออกเท่ากับ 19% ของจีดีพี ลดลงจาก 35% เมื่อสิบปีก่อน แต่ก็ยังต้องพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ อยู่ รวมทั้งการส่งออกการลงทุนซึ่งจะถูกกีดกันจากสหรัฐฯ ด้วย ย่อมส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ

สงครามการค้าที่จีนถูกสหรัฐฯ บีบให้เข้าสู่สมรภูมิ จึงเป็นเดิมพันครั้งสำคัญของสี จิ้นผิง ที่อาจจะสั่นคลอน หรือเสริมส่งสถานะผู้นำสูงสุด และผู้นำตลอดกาลของเขา


กำลังโหลดความคิดเห็น