xs
xsm
sm
md
lg

โลกกับเรื่องตลกอันน่าเศร้า

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ต้อนรับเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย</b>
ว่ากันเรื่องในบ้าน ในเล้า มาพอหอมปาก-หอมคอ...ปิดท้ายสุดสัปดาห์นี้คงต้องลองเปลี่ยนบรรยากาศตามไปดูรายการ “ช้างเหยียบนา-พญาเหยียบเมือง” หรือการเดินทางไปเยือนอังกฤษ อเมริกา อย่างเป็นทางการของมกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย เจ้าชาย “MbS” (Mohammed bin Salman) ดูซักนิด เพราะถือเป็นรายการน่าสนใจในระดับที่นักวิเคราะห์อาวุโสแห่งสำนักข่าว “อัล จาซีรา” อย่าง “นายMarwan Bishara” เขาถึงกับจัดให้เป็นรายการ “ตลกเศร้า” (Tragicomedy) ระดับโลก เอาเลยถึงขั้นนั้น...

เหตุที่ต้องจัดให้เป็นรายการ “ตลกเศร้า” ดังที่ว่า...คงเป็นเพราะบรรดาผู้นำประเทศมหาอำนาจทั้งเก่าและใหม่ อย่างอังกฤษและอเมริกาต่างพร้อมใจกันออกมาสรรเสริญเยินยอ เจ้าชาย “MbS” ในฐานะผู้ที่มีคุณูปการเอามากๆ ต่อการช่วยเหลือกอบกู้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศทั้งสองไล่มาตั้งแต่ “นางเทเรซา เมย์” นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่ออกมากล่าวถึงการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพซาอุฯ อันถือเป็นตัวช่วยให้เกิดการจ้างงาน การสร้างรายได้ให้กับประเทศอังกฤษ มูลค่านับพันๆ ล้านดอลลาร์ โดยไม่คิดจะพูดถึงข้อหา “อาชญากรสงคราม” ที่พลเมืองชาวอังกฤษ พยายามไปฟ้องศาลให้เอาผิดต่อเจ้าชาย “MbS” ในกรณีนำเอา “ระเบิดพวง” ซึ่งผลิตขึ้นในประเทศอังกฤษและจัดเป็น “อาวุธต้องห้าม” ไปใช้ถล่มใส่ประชาชนชาวเยเมนเอาเลยแม้แต่น้อย...

ไม่ต่างไปจากผู้นำมหาอำนาจสูงสุดอย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่ถึงขั้นลงทุนถือชาร์ต อวดโชว์กับบรรดาผู้สื่อข่าว ระหว่างการร่วมแถลงข่าวกับเจ้าชาย “MbS” เพื่อแจกแจงรายละเอียดให้เห็นกันจะจะว่าอาวุธประเภทใดบ้างที่กองทัพซาอุฯ คิดจะซื้อจากสหรัฐฯ ในปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า ไม่ว่าเรือดำน้ำ จรวด รถถัง ฯลฯ อันนำมาซึ่งรายได้ให้กับประเทศอเมริกาไม่น้อยไปกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์ตลอดช่วงระยะ 4 ปี ก่อให้เกิดการจ้างงานในสหรัฐฯ ไม่น้อยกว่า 40,000 ตำแหน่ง และเพื่อสร้างความประทับใจให้กับ “ทรัมป์บ้า” หรือกับอเมริกันชนก็แล้วแต่ มกุฎราชกุมารซาอุฯ เลยตัดสินใจ “เกทับ” ขึ้นไปอีกเท่าตัว คือประกาศว่า...จะเพิ่มงบประมาณในการซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ ตลอดช่วง 4 ปีขึ้นไปเป็น 400,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนบรรดาอาวุธเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ทำอะไรบ้าง อันนี้นี่แหละ...ที่ออกไปทาง “น่าเศร้า” หรือต้องกลายเป็น “ตลกเศร้า” ระดับโลกกันเห็นๆ...

เพราะในช่วงจังหวะเดียวกัน...สำนักข่าว “อัล จาซีรา” เขาได้ไปนำเอา “ปฏิบัติการทิ้งระเบิด” ของกองทัพซาอุฯ และพันธมิตรต่อประเทศที่ได้ชื่อว่า “ยากจนที่สุด” ของโลกอาหรับ หรือแทบทั้งโลกก็ว่าได้ นั่นคือประเทศเยเมน ที่ถูกกองทัพซาอุฯ โดยการตัดสินใจของรัฐมนตรีกลาโหม เจ้าชาย “MbS” เปิดฉากถล่มใส่ตั้งแต่ปี ค.ศ.2015 เป็นต้นมา มาแจกแจงให้เห็นโดยละเอียดอันพอสรุปได้คร่าวๆ ว่า...ตลอดช่วงประมาณเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา บรรดาเครื่องบิน ลูกระเบิด ที่กองทัพซาอุฯ และพันธมิตรซื้อไปจากอังกฤษและอเมริกานั้น ได้ถูกนำมาทิ้งใส่ประเทศเยเมนไปแล้วไม่น้อยกว่า 16,633 เที่ยวบิน สังหารพร่าผลาญผู้คนไม่ต่ำกว่าหมื่นๆ ศพขึ้นไป สร้างความทุกข์ระทม ความอดอยากให้มนุษย์ตาดำๆ จำนวนนับสิบๆ ล้านคน ที่ตกอยู่ในสภาวะขาดอาหาร ขาดน้ำ ขาดยารักษาโรค จนเกิดฉากเหตุการณ์ที่องค์กรระหว่างประเทศ อย่างองค์การสหประชาชาติ ถึงกับต้องใช้คำเรียกขานว่า “โศกนาฏกรรมครั้งร้ายแรงที่สุดของมวลมนุษยชาติ” นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา...

ในจำนวน 1 ใน 3 หรือประมาณ 31 เปอร์เซ็นต์ของ “เป้าหมาย” ที่ถูกนำเอาระเบิดไปหย่อนใส่ ล้วนแล้วแต่เป็นเป้าหมายที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการทหารไปด้วยกันทั้งสิ้น หรือจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,424 เป้าหมาย ก็คือบ้าน ที่อยู่อาศัย ของพลเรือนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ส่งผลให้เด็กๆ ชาวเยเมนไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคน ไม่มีโรงเรียนให้เรียน เนื่องจากโรงเรียนไม่น้อยกว่า 1,600 แห่ง ได้ถูกทำลายชนิดราบเรียบเป็นหน้ากลอง แถมบรรดาโรงงานผลิตอาหาร เครื่องดื่ม ไปจนถึงโรงงานปูนซีเมนต์ โรงเลื่อย ฯลฯ จำนวนไม่ต่ำกว่า 57 แห่ง ก็พลอยตกเป็นเหยื่อระเบิดซึ่งถูกผลิตขึ้นในอังกฤษและอเมริกาควบคู่ไปด้วย แม้แต่บรรดาโบราณสถานที่ถือเป็นมรดกของชนรุ่นหลัง ไม่ว่าจะเป็นชาวเยเมนหรือชาวโลกก็ตาม จำนวนไม่น้อยกว่า 44 แห่ง พังพินาศระดับไม่เหลือเศษซากใดๆ เอาไว้เลย ในจำนวนนี้เป็นโบราณสถานที่องค์การยูเนสโกขึ้นป้ายให้เป็น “มรดกโลก” มาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นป้อมโบราณในเมืองซานา ปราสาท Taiz’s Cairo หรือเขื่อนมาริบของพระนางชีบา ราชินีผู้มีชื่อจดจารึกอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล ฯลฯ ต่างต้องกลายเป็นจุณมหาจุณไปด้วยกันทั้งสิ้น...

ส่วนบรรดาศาสนสถาน...ที่แม้จะเป็นของชาวอิสลามแท้ๆ ไม่ว่าจะเป็นซุนหนี่หรือชีอะห์ก็ตาม ต่างพังพินาศเรียบวุธไปเป็นแถบๆ รวมทั้งสุเหร่า Al-Hadi ที่มีอายุเก่าแก่ประมาณ 1,200 ปี ก็ยังแทบไม่เหลือเศษซาก พูดง่ายๆ ก็คือว่า...ภายใต้ความแฮปปี้ของผู้นำอังกฤษและอเมริกา อันเนื่องมาจากการได้มาซึ่งเงินๆ ทองๆ ไม่ว่าจะกี่พัน กี่หมื่น กี่แสนล้านดอลลาร์ การได้มีตำแหน่งงานให้กับผู้คนระดับหมื่นๆ ในสองประเทศมหาอำนาจ ต่างหนีไม่พ้นต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวทรมาน ด้วยชีวิต เลือดเนื้อ และน้ำตา ของ “มนุษย์ด้วยกันเอง” อย่างประชาชนชาวเยเมนจำนวนไม่รู้กี่ต่อกี่สิบล้านชีวิต การปูพรมแดงพร้อมกับสรรเสริญเยินยอ “อาชญากรสงคราม” ของผู้นำระดับโลกเหล่านี้ จึงไม่ใช่เป็นแค่ “ตลกแห้ง” แต่หนักไปทาง “Tragicomedy” หรือ “ตลกเศร้า” ที่เรียกเสียงหัวเราะไปพร้อมกับคราบเลือดและคราบน้ำตา ด้วยประการละฉะนี้...


กำลังโหลดความคิดเห็น