ผู้จัดการรายวัน 360 - นายกฯ ยันตรวจสอบทุจริตทุกอย่าง ไม่ละเลย ใครเกี่ยวข้องให้ออกจากหน้าที่ให้หมด ด้านป.ป.ท. ขอเวลาอีก 2 สัปดาห์ได้ข้อสรุปฟันข้าราชการระดับสูงโกงเงินคนจน ขีดเส้นตรวจสอบเสร็จทั่วประเทศ พ.ค.นี้ บอร์ดป.ป.ท.ตั้งอนุกรรมการไต่สวน "รจนา สินที" ขรก.ซี 8 ทุจริตกองทุนเสมาฯ จำนวน 88 ล้านบาท พร้อมประสานให้ ป.ป.ช.สอบเส้นทางเงิน "วัชรพล”สั่งเร่งตรวจสอบเหนือตอนล่าง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบการทุจริตในโครงการของรัฐหลายกรณี ที่เกิดขึ้นว่า เราได้แก้ปัญหามาโดยตลอด อยากให้มองว่า ไม่ใช่แย่ลง เพิ่มขึ้น หรือดีขึ้น เรายังไม่รู้ทั้งหมด เพราะกลไกการทุจริตมีมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็อยากให้เปรียบเทียบดูว่า การดำเนินคดีเกี่ยวกับการทุจริตในช่วงรัฐบาลนี้ ทำมากน้อยเพียงใด ถึงแม้มันจะยังมีอยู่ แต่ก็ดำเนินการต่อเนื่องไป หลายๆคดี ก็มีข้อยุติออกมาแล้ว และมีการพิจารณาใหม่ ทั้งหมดเป็นคดีที่ส่วนใหญ่อยู่ในกระบวนการตรวจสอบทั้งสิ้น ตรวจสอบจนมีผลสำเร็จก็หลายราย หรือมีการหลบหนีไปก็หลายราย ต้องไปเปรียบเทียบตรงนี้
สำหรับกรณีของ 2-3 กระทรวง ได้สั่งการไปแล้ว เบื้องต้นให้พ้นจากหน้าที่ให้หมด และให้ไปสอบสวนโดยเร็ว ทั้งในส่วนของกระทรวง และในส่วนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ซึ่งก็เข้มงวดมาตลอด มันอยู่ที่การดำเนินการข้างล่าง ของผู้ที่ใช้จ่ายงบประมาณ
เรื่องกองทุนต่างๆ ก็เหมือนกัน ตนพยายามไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน หลายกองทุนก็ยุบเลิกไป หลายกองทุนก็ไปพิจารณาใหม่ ไม่ว่าจะเป็น กองทุนเสมาพัฒนาชีวิต กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) คณะกรรมการการศึกษาพิเศษ หรือ กองทุนเรียนฟรี 15 ปี ที่ต้องหาวิธีการไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกัน และเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ที่สามารถกำหนดได้ว่า เงินที่ใช้ในกองทุนฯ จะมาใช้ประโยชน์อย่างไร มีคนกี่คน ทำงานที่ไหน วันนี้ก็ให้ติดตามผลสัมฤทธิ์ทุกวัน และกำลังจัดระเบียบทั้งหมด ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นกลไกลภายใน ที่ทุกคนต้องหารือร่วมกัน หลายคนยังไม่อยากมีการเปลี่ยนแปลงมันก็ยังมีอยู่ ฉะนั้นหากเราตัดสินใจอะไรลงไป ท่ามกลางความขัดแย้งบางทีมันก็ไปไม่ได้ เหมือนกม.ทุกฉบับที่ออกมา บางทีใช้ยังไม่ได้ เพราะคนของเรายังไม่พร้อม แต่ด้วยความหวังดีการออกกม. เพื่อให้ใช้รองรับในระยะยาว จะได้ไม่ต้องแก้ไขบ่อย ถึงเวลาต้องมีการผ่อนผันใช้กม.พิเศษเพิ่มเติมไปบ้าง เพื่อให้เวลาในการเปลี่ยนผ่านเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยไม่ต้องไปแก้ไขกม.ใหญ่
*** ขอ 2 สัปดาห์สรุปฟันบิ๊กขรก.เอี่ยวโกง
พ.ท.กรทิพย์ ดาโรจน์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผยถึง ความคืบหน้าในการตรวจสอบคดีทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย ผู้ยากไร้ และผู้ป่วยโรคเอดส์ ของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ทั้งประเทศ ว่า ขณะนี้คดียังอยู่ระหว่างการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวน ซึ่งจะเป็นการลงรายละเอียดลึกกว่าที่สำนักงาน ป.ป.ท.ตรวจสอบ คาดจะใช้เวลาอีกประมาณ 2 สัปดาห์จะได้ความชัดเจนมากขึ้น
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวการจ่ายเงินให้กับผู้บริหารระดับสูง พม. นั้น ได้ดำเนินการตรวจสอบมาพอสมควร น่าจะได้ความชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์นี้เช่นกัน และการตรวจสอบทั้ง 76 จังหวัด จะต้องดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายในเดือน พ.ค.นี้
ส่วนที่กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ประสานขอข้อมูลเจ้าหน้าที่ที่ร่วมทุจริต เพื่อไปดำเนินการทางวินัย เลขา ป.ป.ท. กล่าวว่า ทาง พม.ได้ประสานมาแล้ว เพียงแต่ข้อมูลที่ทาง พม. ขอ เป็นข้อมูลพยานหลักฐานที่ใช้ในกระบวนการยุติธรรมอาญา ดังนั้นการจะให้ข้อมูลดังกล่าว ต้องนำเสนอขออนุมัติ จากคณะกรรมการ ป.ป.ท. ก่อน ว่าจะอนุญาตให้ได้มากน้อยเพียงใด
***ตั้งอนุฯไต่ส่วน "รจนา" โกง 88 ล้าน
วานนี้ (20 มี.ค.) พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผยถึง ผลการประชุมบอร์ด ป.ป.ท. เพื่อพิจารณาสำนวนคดีทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต ของกระทรวงศึกษาธิการ ว่า ที่ประชุมมีมติตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนความผิดคดีอาญานางรจนา สินที นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ ระดับ 8 กระทรวงศึกษาธิการ ที่ทุจริตเงินกองทุนเสมาฯ โอนเข้าบัญชีบุคคลอื่นจำนวน 22 บัญชี จำนวนรวมกว่า 88 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ บอร์ด ป.ป.ท. ได้กำชับให้ประสานหน่วยตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ( ปปง.) เพื่อตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและเส้นทางการเงินบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่พบ ทรัพย์สินที่น่าเชื่อว่า ทำให้ร่ำรวยผิดปกติ เพื่อส่งต่อให้ คณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการต่อตามอำนาจหน้าที่ เบื้องต้นให้ส่งรายชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องให้ ปปง.ตั้งเรื่องตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินต่อไป
พล.ต.อ.จรัมพร กล่าวว่า ในชั้นสอบสวนนางรจนารับสารภาพเป็นผู้ดำเนินการเพียงคนเดียว โดยมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยเลขาจดบันทึกรายงานการประชุม หลังจากปลัดกระทรวงพิจารณาอนุมัติกองทุนให้กับนักเรียนที่มีสิทธิตามที่โรงเรียนต่างๆ ในกลุ่มโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์, โรงเรียนสมเด็จพระปิยมหาราช, วิทยาลัยพยาบาลพระบรมราชชนนี และราชประชาสงเคราะห์ได้ส่งรายชื่อมา หลังการประชุมนางรจนาจะทำเอกสารต่างๆ แทนที่จะนำเงินเข้าบัญชีของนักเรียนแต่กลับทำเอกสารระบุรายชื่อบัญชีของเครือญาติมาสอดแทรกเข้าไปเพื่อรับเงินแทนก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาอนุมัติเงิน โดยผู้ขอรับทุนบางส่วนได้รับเงินจริง บางส่วนเข้าไปในบัญชีเครือญาติตนเอง
*** ขบวนการโกงคล้ายทุจริตเงินทอนวัด
พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึง การทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ว่า ล่าสุดป.ป.ช.ได้ตรวจสอบพบการทุจริตของ พม. เพิ่มเติมอีก ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง เป็นการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับเงินอุดหนุนสงเคราะห์ชาวเขา จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ไปแสวงหาข้อเท็จจริง รวมรวมข้อมูล เพื่อเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ไปมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเบื้องต้นพบว่ามีเส้นทางทุจริตที่ชัดเจน น่าจะเอาผิดกับผู้ทุจริตได้
ส่วนการทุจริตเงินคนไร้ที่พึ่ง ที่เชื่อมโยงกับศูนย์นิคมช่วยตนเองนั้น ได้สั่งการให้สำนักไต่สวนภาค 3 ไปแสวงหาข้อเท็จจริงแล้ว เบื้องต้นพบการทุจริตมีรูปแบบคล้ายกรณีของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ต้องดูต้นทางการทุจริตว่ามีผู้บริหารระดับสูงเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบการทุจริตในโครงการของรัฐหลายกรณี ที่เกิดขึ้นว่า เราได้แก้ปัญหามาโดยตลอด อยากให้มองว่า ไม่ใช่แย่ลง เพิ่มขึ้น หรือดีขึ้น เรายังไม่รู้ทั้งหมด เพราะกลไกการทุจริตมีมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็อยากให้เปรียบเทียบดูว่า การดำเนินคดีเกี่ยวกับการทุจริตในช่วงรัฐบาลนี้ ทำมากน้อยเพียงใด ถึงแม้มันจะยังมีอยู่ แต่ก็ดำเนินการต่อเนื่องไป หลายๆคดี ก็มีข้อยุติออกมาแล้ว และมีการพิจารณาใหม่ ทั้งหมดเป็นคดีที่ส่วนใหญ่อยู่ในกระบวนการตรวจสอบทั้งสิ้น ตรวจสอบจนมีผลสำเร็จก็หลายราย หรือมีการหลบหนีไปก็หลายราย ต้องไปเปรียบเทียบตรงนี้
สำหรับกรณีของ 2-3 กระทรวง ได้สั่งการไปแล้ว เบื้องต้นให้พ้นจากหน้าที่ให้หมด และให้ไปสอบสวนโดยเร็ว ทั้งในส่วนของกระทรวง และในส่วนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ซึ่งก็เข้มงวดมาตลอด มันอยู่ที่การดำเนินการข้างล่าง ของผู้ที่ใช้จ่ายงบประมาณ
เรื่องกองทุนต่างๆ ก็เหมือนกัน ตนพยายามไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน หลายกองทุนก็ยุบเลิกไป หลายกองทุนก็ไปพิจารณาใหม่ ไม่ว่าจะเป็น กองทุนเสมาพัฒนาชีวิต กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) คณะกรรมการการศึกษาพิเศษ หรือ กองทุนเรียนฟรี 15 ปี ที่ต้องหาวิธีการไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกัน และเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ที่สามารถกำหนดได้ว่า เงินที่ใช้ในกองทุนฯ จะมาใช้ประโยชน์อย่างไร มีคนกี่คน ทำงานที่ไหน วันนี้ก็ให้ติดตามผลสัมฤทธิ์ทุกวัน และกำลังจัดระเบียบทั้งหมด ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นกลไกลภายใน ที่ทุกคนต้องหารือร่วมกัน หลายคนยังไม่อยากมีการเปลี่ยนแปลงมันก็ยังมีอยู่ ฉะนั้นหากเราตัดสินใจอะไรลงไป ท่ามกลางความขัดแย้งบางทีมันก็ไปไม่ได้ เหมือนกม.ทุกฉบับที่ออกมา บางทีใช้ยังไม่ได้ เพราะคนของเรายังไม่พร้อม แต่ด้วยความหวังดีการออกกม. เพื่อให้ใช้รองรับในระยะยาว จะได้ไม่ต้องแก้ไขบ่อย ถึงเวลาต้องมีการผ่อนผันใช้กม.พิเศษเพิ่มเติมไปบ้าง เพื่อให้เวลาในการเปลี่ยนผ่านเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยไม่ต้องไปแก้ไขกม.ใหญ่
*** ขอ 2 สัปดาห์สรุปฟันบิ๊กขรก.เอี่ยวโกง
พ.ท.กรทิพย์ ดาโรจน์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผยถึง ความคืบหน้าในการตรวจสอบคดีทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย ผู้ยากไร้ และผู้ป่วยโรคเอดส์ ของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ทั้งประเทศ ว่า ขณะนี้คดียังอยู่ระหว่างการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวน ซึ่งจะเป็นการลงรายละเอียดลึกกว่าที่สำนักงาน ป.ป.ท.ตรวจสอบ คาดจะใช้เวลาอีกประมาณ 2 สัปดาห์จะได้ความชัดเจนมากขึ้น
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวการจ่ายเงินให้กับผู้บริหารระดับสูง พม. นั้น ได้ดำเนินการตรวจสอบมาพอสมควร น่าจะได้ความชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์นี้เช่นกัน และการตรวจสอบทั้ง 76 จังหวัด จะต้องดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายในเดือน พ.ค.นี้
ส่วนที่กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ประสานขอข้อมูลเจ้าหน้าที่ที่ร่วมทุจริต เพื่อไปดำเนินการทางวินัย เลขา ป.ป.ท. กล่าวว่า ทาง พม.ได้ประสานมาแล้ว เพียงแต่ข้อมูลที่ทาง พม. ขอ เป็นข้อมูลพยานหลักฐานที่ใช้ในกระบวนการยุติธรรมอาญา ดังนั้นการจะให้ข้อมูลดังกล่าว ต้องนำเสนอขออนุมัติ จากคณะกรรมการ ป.ป.ท. ก่อน ว่าจะอนุญาตให้ได้มากน้อยเพียงใด
***ตั้งอนุฯไต่ส่วน "รจนา" โกง 88 ล้าน
วานนี้ (20 มี.ค.) พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผยถึง ผลการประชุมบอร์ด ป.ป.ท. เพื่อพิจารณาสำนวนคดีทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต ของกระทรวงศึกษาธิการ ว่า ที่ประชุมมีมติตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนความผิดคดีอาญานางรจนา สินที นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ ระดับ 8 กระทรวงศึกษาธิการ ที่ทุจริตเงินกองทุนเสมาฯ โอนเข้าบัญชีบุคคลอื่นจำนวน 22 บัญชี จำนวนรวมกว่า 88 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ บอร์ด ป.ป.ท. ได้กำชับให้ประสานหน่วยตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ( ปปง.) เพื่อตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและเส้นทางการเงินบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่พบ ทรัพย์สินที่น่าเชื่อว่า ทำให้ร่ำรวยผิดปกติ เพื่อส่งต่อให้ คณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการต่อตามอำนาจหน้าที่ เบื้องต้นให้ส่งรายชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องให้ ปปง.ตั้งเรื่องตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินต่อไป
พล.ต.อ.จรัมพร กล่าวว่า ในชั้นสอบสวนนางรจนารับสารภาพเป็นผู้ดำเนินการเพียงคนเดียว โดยมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยเลขาจดบันทึกรายงานการประชุม หลังจากปลัดกระทรวงพิจารณาอนุมัติกองทุนให้กับนักเรียนที่มีสิทธิตามที่โรงเรียนต่างๆ ในกลุ่มโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์, โรงเรียนสมเด็จพระปิยมหาราช, วิทยาลัยพยาบาลพระบรมราชชนนี และราชประชาสงเคราะห์ได้ส่งรายชื่อมา หลังการประชุมนางรจนาจะทำเอกสารต่างๆ แทนที่จะนำเงินเข้าบัญชีของนักเรียนแต่กลับทำเอกสารระบุรายชื่อบัญชีของเครือญาติมาสอดแทรกเข้าไปเพื่อรับเงินแทนก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาอนุมัติเงิน โดยผู้ขอรับทุนบางส่วนได้รับเงินจริง บางส่วนเข้าไปในบัญชีเครือญาติตนเอง
*** ขบวนการโกงคล้ายทุจริตเงินทอนวัด
พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึง การทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ว่า ล่าสุดป.ป.ช.ได้ตรวจสอบพบการทุจริตของ พม. เพิ่มเติมอีก ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง เป็นการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับเงินอุดหนุนสงเคราะห์ชาวเขา จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ไปแสวงหาข้อเท็จจริง รวมรวมข้อมูล เพื่อเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ไปมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเบื้องต้นพบว่ามีเส้นทางทุจริตที่ชัดเจน น่าจะเอาผิดกับผู้ทุจริตได้
ส่วนการทุจริตเงินคนไร้ที่พึ่ง ที่เชื่อมโยงกับศูนย์นิคมช่วยตนเองนั้น ได้สั่งการให้สำนักไต่สวนภาค 3 ไปแสวงหาข้อเท็จจริงแล้ว เบื้องต้นพบการทุจริตมีรูปแบบคล้ายกรณีของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ต้องดูต้นทางการทุจริตว่ามีผู้บริหารระดับสูงเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่