xs
xsm
sm
md
lg

อเมริกายุคจูราสสิคพาร์ค

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา</b>
ปิดท้ายสัปดาห์นี้...สงสัยคงต้องไปว่ากันเรื่อง “ทรัมป์บ้า” กับปฏิบัติการจูราสสิคพาร์คกันซะหน่อย คือปฏิบัติการถอดถอนรัฐมนตรีต่างประเทศ “นายทีเร็กซ์” หรือ “เร็กซ์ที” หรือ “เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน” (Rex Wayne Tillerson) แบบชนิดหลับกลางอากาศ หรือแบบจู่ๆ ก็สอยกันดื้อๆ!!! ไม่ได้มีสิ่งบอกเหตุ หรือมีเหตุมีผลใดๆ รองรับเอาไว้เลยแม้แต่น้อย...

การวิเคราะห์ สังเคราะห์ คาดคะเนถึงสาเหตุที่ทำให้ “ทรัมป์บ้า” ตัดสินใจในลักษณะเช่นนี้ จึงมีอยู่หลายสูตร หลายทฤษฎีด้วยกัน บ้างก็ว่า...เป็นเพราะต้องเตรียมตัวรับมือกับกระบวนการทรุดนั่งลงเจรจาจับเข่า จับหัวเหน่ากับ “คิมน้อย” ในช่วงที่คาดๆ กันว่า ประมาณเดือนพฤษภาฯ ที่จะถึง การหาคนที่เข้าแข้ง เข้าขา ไม่ออกอาการอึกๆ อักๆ ใดๆ กับการคิด การตัดสินใจของประธานาธิบดี หรือประเภท “มิสเตอร์เยส” กันลูกเดียวเท่านั้น จึงถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้ต้อง “เปลี่ยนไดโนเสาร์กลางลำธาร” ด้วยเหตุเพราะการที่ “ทรัมป์บ้า” เปลี่ยนจุดยืนจากที่เคยคิดล้างผลาญ เล่นงาน เกาหลีเหนือให้ราบเป็นหน้ากลอง กลายมาเป็นยอมนั่งโต๊ะเจรจาโดยแทบไม่มีเงื่อนไขใดๆ ติดปลายนวมเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศอย่าง “นายทีเร็กซ์”หรือ “เร็กซ์ที” ผู้นี้ ดูๆ จะออกอาการอึกๆ อักๆ มึนซ์ซ์ซ์ๆ งงง์ง์ง์ๆ มิใช่น้อย เรียกว่า...งงง์ง์ง์พอๆ กับประเทศพันธมิตรอย่างญี่ปุ่น ที่แทบหงายหลังตกขบวนรถไฟเที่ยวนี้กันเห็นๆ...

แต่ทฤษฎีที่ว่านี้...ก็ยังไม่ถึงกับมีเหตุผลที่มีน้ำหนักรองรับเอาไว้มากมายซักเท่าไหร่นัก คือออกอาการเดาสุ่มไปเรื่อยๆ เพราะโดยแนวคิด หรือท่าทีของรัฐมนตรีต่างประเทศอย่าง “นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน” ในกรณีปัญหาเกาหลีเหนือ ไม่ได้ถึงกับขัดแย้งสวนทางกับการหาทางออกด้วย “การเจรจา” อะไรกันมากมาย ตรงกันข้ามอาจหนักไปทางสนับสนุนแนวทางดังกล่าวซะด้วยซ้ำ ไม่ต่างไปจากผู้ที่กระทรวงต่างประเทศเคยคิดเสนอชื่อให้ไปเป็นทูตเกาหลีใต้ อย่าง “นายวิคเตอร์ ชา” (Victor Cha) แต่โดนประธานาธิบดีถีบออกจากวงโคจรซะดื้อๆ ซึ่งถือเป็นผู้ที่คัดค้านแนวทางการใช้ “มาตรการทางทหาร” เพื่อเล่นงานเกาหลีเหนือมาโดยตลอด...

และถ้าหากจะว่ากันถึงความขัดแย้ง ความไม่ลงรอยกันในด้านนโยบาย กรณี “อิหร่าน” ซะมากกว่า ที่อาจแสดงให้เห็นค่อนข้างเด่นชัด ถึงความแตกต่างระหว่างประธานาธิบดีกับรัฐมนตรีต่างประเทศ คือในขณะที่ “ทรัมป์บ้า” นั้นออกอาการกระเหี้ยนกระหือรือ อยากถอนตัวออกจาก “ข้อตกลงนิวเคลียร์” ที่อิหร่าน เยอรมนี และอีก 5 ชาติแห่งคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติตกลงไว้ก่อนหน้านี้ (ยุคโอมาบา) แต่ “เร็กซ์ที” หรือ “ทีเร็กซ์” กลับดูจะเห็นพ้องต้องกันกับบรรดาชาติยุโรปทั้งหลาย คือเห็นว่าเป็นข้อตกลงของประชาคมระหว่างประเทศ ไม่ใช่ข้อตกลงแบบทวิภาคี ที่อเมริกาคิดจะสะบัดตูดออกจากพันธะเหล่านี้ได้ง่ายๆ การมุ่งเล่นงานอิหร่านและการ “โปรอิสราเอล” แบบเต็มสูบ เต็มด้าม แบบหยาบๆ ง่ายๆ ของประธานาธิบดี จึงออกจะเป็นอะไรที่สร้างแรงเสียดสีให้กับกระทรวงต่างประเทศอยู่พอสมควร...

แต่ก็นั่นแหละ...ทฤษฎีที่ว่านี้ ก็ยังไม่ได้มีเหตุผลรองรับเท่ากับทฤษฎีที่สรุปไว้แบบทื่อๆ ง่ายๆ แต่ค่อนข้างจะมีน้ำหนักอย่างเป็นพิเศษ นั่นก็คือทฤษฎีอันว่าด้วยคุณลักษณะ “สารเคมี” ระหว่างประธานาธิบดีกับรัฐมนตรีต่างประเทศ ที่ไม่ได้ “ตรงกัน” มาตั้งแต่แรก หรือต่าง “เหม็นหน้า” กันและกันมาตั้งแต่ต้นนั่นเอง เหม็นในระดับถึงขั้นว่า...ต้องใช้คำว่า “ปัญญาอ่อน” (Moron) เรียกขานประธานาธิบดีลับหลังเอาเลยถึงขั้นนั้น จริง-ไม่จริง...แม้จะไม่ได้มีการพิสูจน์ ยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่ขณะอยู่ต่อหน้า ว่ากันว่า...อาการกลอกตา เบะปาก หรือการแสดงออกทาง “ภาษากาย”ของรัฐมนตรีต่างประเทศต่อการคิด การตัดสินใจของประธานาธิบดี ส่งผลให้ “ทรัมป์บ้า” เกิดอาการ “เปรี้ยวเท้า” ต่อ “เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน” มานานแล้ว เพียงแต่จะเลือกจังหวะตอนไหน ที่จะ “ถีบทิ้ง” เท่านั้นเอง!!!

แต่เอาเป็นว่า...ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีไหนก็เถอะ การเปลี่ยน “ไดโนเสาร์กลางลำธาร” หรือเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในคราวนี้ น่าจะส่งผลให้การดำเนินวิเทโศบายต่างประเทศของสหรัฐฯ เป็นไปดังที่นักวิเคราะห์หลายต่อหลายรายได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้น่าสนใจไม่น้อย คือน่าที่จะทำให้ “สภาวะแวดล้อมรอบข้าง” ของ “ทรัมป์บ้า” นับจากนี้ ยิ่งเต็มไปด้วยผู้ที่มีแนวคิดหนักไปทาง “ทหาร” เป็นด้านหลัก ไม่เพียงแต่ที่ปรึกษาความมั่นคงอย่าง “พลเอกแมคมาสเตอร์” (Henry McMaster) ที่ได้ชื่อว่ากระเหี้ยนกระหือรือในการทำสงคราม เกลียดอิหร่าน โปรอิสราเอล ยืนเคียงข้างไปโดยตลอด หรือรัฐมนตรีกลาโหมอย่าง “พลเอกจิมส์” หรือ “เจมส์ แมตทิส” (James Norman Mattis) ที่มีแนวคิดไม่ได้แตกต่างกันไปซักเท่าไหร่นัก ยังตามมาด้วย “นายไมค์ ปอมเปโอ” (Michael Richard Pompeo) อดีตทหารผ่านศึกสมรภูมิสงครามอ่าว ที่ขึ้นชั้นจากผู้อำนวยซีไอเอโดดมาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ในฐานะ “มิสเตอร์เยส” ที่พร้อมสนับสนุนแนวทาง “บ้าก็บ้าวะ” ให้มีโอกาสบ้าได้ยิ่งขึ้นไปอีก...

และที่น่าสยดสยองเอามากๆ...ก็คือการเลื่อนขั้นรองผู้อำนวยการซีไอเออย่าง “นางจีนา แฮสเปล” (Gina Haspel) ผู้ได้ชื่อฉายาว่า “เจ้าแม่แห่งการทรมาน” อดีตผู้อำนวยการคุกลับอเมริกันในเมืองไทย ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการซีไอเอคนใหม่แทนที่ “นายไมค์ ปอมเปโอ” อันน่าจะมีส่วนส่งผลให้บรรยากาศแบบ “ยุคสงครามเย็น” ในอดีต หวนกลับมาสู่ความคึกคักโครมครามยิ่งๆ ขึ้นไป หรือทำให้การ “เปลี่ยนไดโนเสาร์กลางลำธาร” คราวนี้ ยิ่งน่าจะทำให้อเมริกาหวนกลับไปสู่ความเป็น ไดโนเสาร์หนักขึ้นไปอีก!!!
<b>จีนา แฮสเปล</b>


กำลังโหลดความคิดเห็น