xs
xsm
sm
md
lg

ชัยชนะของสันติภาพ

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>นายDave Lindorff</b>
สงสัยวันนี้...คงต้องกลับไปตระเวนแถวๆ คาบสมุทรเกาหลีกันอีกซักรอบ เพราะดูเหมือนว่าตั้งแต่มีข่าวว่า “ทรัมป์บ้า” ออกอาการ “หายบ้า” ทำท่าว่าจะกลับมาเป็นผู้ เป็นคน แบบปกติธรรมดาโดยทั่วไป แต่บรรดาอเมริกันชนจำนวนไม่น้อยกลับเริ่มออกอาการงงๆ ทำท่าคล้ายๆ จะ “ใกล้บ้า” ขึ้นมาอีกซะแร้น ด้วยเหตุเพราะไม่อาจตอบคำถามตัวเองได้ว่า...เหตุใด “ทรัมป์บ้า” ถึงทำท่าว่าชักจะหายบ้าเอาง่ายๆ...

เพราะการที่ประธานาธิบดีอเมริกันประกาศยินดีที่จะทรุดนั่งจับเข่าเจรจากับผู้นำเกาหลีเหนือ...แบบที่ไม่ต้องมีเงื่อนไขใดๆ ผูกมัดมากมายเกินไปนัก แค่ “คิมน้อย” บอกผ่านผู้นำเกาหลีใต้ว่าไม่คิดจะทดสอบขีปนาวุธและระเบิดนิวเคลียร์อีกต่อไป โดยไม่สนใจว่าอเมริกากับเกาหลีใต้จะซ้อมรบกันในเมื่อไหร่ ตอนไหน “ทรัมป์บ้า” ก็ทำท่าว่าเริ่มหายบ้าขึ้นมาแบบปลิดทิ้ง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น...แนวโน้มที่ความบ้าจะออกฤทธิ์ออกเดชถึงขั้นใกล้ถึงจุด “Fork in the Road” หรือต้องตัดสินใจเลือกทางหนึ่ง ทางใด อย่างที่อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ คุณปู่ “เฮนรี คิซซิงเจอร์” ท่านประมาณการเอาไว้ว่า น่าจะต้อง “บ้า...ก็...บ้าวะ” หรือต้องเลือก “ชิงโจมตีก่อน” (Pre-Emptive Strike) ค่อนข้างแน่ แต่จู่ๆ...การพลิกกลับมานั่งโต๊ะเจรจาเช่นนี้ ย่อมต้องทำให้อเมริกันชนจำนวนไม่น้อย ออกอาการ “มึนซ์ซ์ซ์” อยู่มั่งเป็นธรรมดา...

ทั้งๆ ที่เอาเข้าจริงๆ แล้ว...อเมริกันชนที่ไม่ได้ออกอาการมึนซ์ซ์ซ์ มิหนำซ้ำยังมองเห็นสิ่งเหล่านี้เอาไว้ก่อนล่วงหน้าได้แบบแจ่มแจ้งชัดเจน ปานประดุจหลับตาเห็น ก็พอมีอยู่เช่นกัน ดังที่เคยนำเอาความคิด ความเห็น และการประมาณการของอดีตมือวิเคราะห์ข่าวรุ่นเก๋ากึก อย่าง “นายDave Lindorff” คอลัมนิสต์วารสารการเมืองฝ่ายซ้าย “Counter Punch” มาเล่าสู่กันฟังในคอลัมน์นี้ไว้เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา คือด้วยเหตุที่ “นายDave Lindorff” แกไม่ได้มองแค่ “ปรากฏการณ์” ที่เกิดขึ้นแบบวูบๆ วาบๆ หรือแค่หยิบเอาความคิด ความเห็นของตัวละครแต่ละตัว ที่โต้กันไปโต้กันมา งับกันไปงับกันมา แล้วนำมาใช้เป็น “ข้อสรุป” แบบประเภท “ข่าวปิงปอง” ในบ้านเราอะไรทำนองนั้น แต่ยังหันไปลากเอา “ประวัติศาสตร์” ในอดีตของความเป็นไปในคาบสมุทรเกาหลีมาเชื่อมโยงกับปัจจุบัน แล้วมองไปสู่อนาคตได้อย่างประณีต แยบยล และลึกซึ้งเอามากๆ...

แกถึงได้สรุปเอาไว้ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “South Korea Slips off the US Leash” ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า... “สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีทุกวันนี้ เป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน (ในประวัติศาสตร์) เมื่อเกาหลีเหนือมีขีปนาวุธนิวเคลียร์อยู่ในมือ รวมทั้งระเบิดไฮโดรเจนที่สามารถยิงใส่แผ่นดินใหญ่อเมริกาได้ทุกเมื่อ ขณะที่เกาหลีใต้ได้ส่งสัญญาณให้เห็นถึงสิ่งซึ่งอาจทำให้สถานะของอเมริกาในพื้นที่แห่งนี้ต้องสั่นไหวไปทั้งระบบ ด้วยการแสดงท่าทีที่ต้องการรื้อฟื้นสัมพันธภาพในบางระดับกับเกาหลีเหนือ อีกทั้งในเวลาเดียวกัน ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ได้ทำให้ประเทศสหรัฐฯ กลายเป็นมหาอำนาจสูงสุดผู้โดดเดี่ยว ไปพร้อมๆ กับการเติบใหญ่ของมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจหรือการทหาร ดังนั้น...เมื่อโอกาสที่จะเล่นงานเกาหลีเหนือด้วยมาตรการทางทหารแทบเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง...สหรัฐฯ คงหนีไม่พ้นต้องทรุดนั่งลงเจรจากับเกาหลีเหนือ หรือไม่ก็อนุญาตให้เกาหลีใต้เป็นผู้เจรจาไปเอง โดยมีมหาอำนาจ 4 ฝ่าย คือจีน-รัสเซีย-ญี่ปุ่น-และสหรัฐฯ เป็นเพียงผู้ร่วมโต๊ะเจรจา หรือผู้ให้การสนับสนุนเท่านั้น...”

ซึ่งโดย “ข้อเท็จจริง” มันก็ดูจะเป็นไปตามนั้นนั่นแหละ...เมื่อมองจากการประมาณการของนักยุทธศาสตร์ทางทหาร ไม่ว่าสำนักไหนต่อสำนักไหน รวมทั้งสำนัก “เพนตากอน” อีกด้วยต่างหาก ที่ต่างพร้อมยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่าทันทีเครื่องบินทิ้งระเบิดสหรัฐฯ หย่อนระเบิดลงใส่พื้นที่หนึ่ง พื้นที่ใด ในเกาหลีเหนือ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่จุดที่ตั้งของโรงงานหรือสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานโครงการอาวุธนิวเคลียร์หรือไม่ ประการใด และไม่ว่าเกาหลีเหนือจะมีขีปนาวุธระดับไหนต่อระดับไหนก็ตาม แต่เพียงแค่การตอบโต้ด้วยปืนใหญ่ข้ามพรมแดน เขตแดนเกาหลีเหนือไปยังเกาหลีใต้ ก็สามารถส่งผลให้ผู้ที่ต้องเสียชีวิตแบบฉับพลัน-ทันที น่าจะมีจำนวนไม่ต่ำกว่านับเป็นแสนๆ คนขึ้นไป ด้วย “รายจ่ายของสงคราม” ในระดับนี้ ปฏิบัติการทางทหารใดๆ ของอเมริกา ย่อม “ยากจะเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ” อย่างที่ “นายDave Lindorff” แกว่าเอาไว้จริงๆ

และสิ่งที่ถือเป็น “จุดเปลี่ยน” สำคัญที่สุด...ก็คือการพลิกเปลี่ยนบทบาทของรัฐบาลเกาหลีใต้ จาก “ทายาทเผด็จการ” ที่กระเหี้ยนกระหือรือกลายมาเป็น “พวกเสรีนิยมหัวก้าวหน้า” ซึ่งมุ่งมั่นเพียรพยายามสานต่อนโยบาย “ตะวันฉาย” ที่เริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่เกือบ 20 ปีที่แล้ว ให้มีโอกาสเป็นไปได้ต่อไปในภายภาคหน้า ทำให้รัฐบาลอเมริกันที่กลายสภาพไปเป็น “มหาอำนาจสูงสุดผู้โดดเดี่ยว” อย่างแทบครบถ้วน สมบูรณ์ไปแล้ว ในยุคของ “ทรัมป์บ้า” ยากซ์ซ์ซ์ที่จะดิ้นรนไปในทางอื่น โดยเฉพาะเมื่อ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างจีนและรัสเซีย ที่ต้องรับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี ต่างก็กำสากกะเบือ หรือบ้องข้าวหลามยักษ์เอาไว้ในมือ ชนิดที่สามารถทำให้ “เครื่องจักรสังหาร” แต่ละประเภทของสหรัฐฯ เดี้ยงเอาง่ายๆ ได้ทุกเมื่อ...

แค่เฉพาะขีปนาวุธรุ่นล่าสุด “ไฮเปอร์โซนิก” ของรัสเซีย ที่ว่ากันว่ามีความเร็วเหนือเสียงระดับสามารถเจาะทะลวงเครือข่ายระบบป้องกันขีปนาวุธทุกชนิดในโลกนี้...ก็ยุ่งแล้ว!!! ยังไม่นับรวมถึงขีปนาวุธรุ่นล่าสุดของจีน ไม่ต้องถึงขั้น “ตงเฟิง 41” ที่ว่ากันว่าสามารถยิงข้ามน้ำ ข้ามฟ้าไปไกลได้ถึง 12,000 กิโลเมตร แค่เฉพาะ “ตงเฟิง 21-D” ที่เชื่อๆ กันว่า สามารถจมเรือบรรทุกเครื่องบินอเมริกันภายในช่วงเวลาแค่ 20 นาทีเท่านั้นเอง อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้ไม่ว่า “ทรัมป์บ้า” จะบ้ามาก บ้าน้อย ขนาดไหน แต่หนีไม่พ้นต้อง “หายบ้า” ได้ทุกเมื่อ ดังนั้น...คงไม่ต้องคิดมาก หรือคิดเล็กคิดน้อยให้เสียเวลา คิดซะว่า...การที่มหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา พร้อมทรุดนั่งลงเจรจากับผู้นำประเทศเล็กๆ อย่างเกาหลีเหนือในคราวนี้...ย่อมต้องถือเป็น “ชัยชนะแห่งสันติภาพ” ก็แล้วกัน...


กำลังโหลดความคิดเห็น