นายสมชาย แสวงการ เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิปสนช.) เปิดเผยว่า การประชุมวิปสนช. ในวันที่ 13 มี.ค.ไม่ได้มีวาระการพิจารณา ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และ ร่าง พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. เพราะกฎหมายทั้งสองฉบับ ผ่านที่ประชุม สนช.ไปแล้ว แต่ถ้าสมาชิกสนช.คนใด จะยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ของกฎหมายดังกล่าว ก็สามารถทำได้
ส่วนตัวในฐานะเป็นกมธ.วิสามัญที่พิจารณาร่างกฎหมายทั้งสองฉบับ คิดว่าไม่มีประเด็นปัญหาความชอบด้วยรธน. เนื่องจากรธน.ฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติให้การพิจารณา ร่าง พ.ร.ป.เป็นอำนาจหน้าที่ของ สนช. อย่างชัดเจน อีกทั้งการพิจารณาของสนช. ที่ผ่านมา ยังคงเนื้อหาของร่าง ตามที่กรธ. เสนอมายัง สนช.ไว้ถึง 90 % โดยมีเพียงการแก้ไขในส่วนบทเฉพาะกาลเท่านั้น
ส่วนกรณีที่ศาลรธน. วินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ชอบด้วยรธน. นายสมชาย กล่าวว่า เมื่อศาลรธน.วินิจฉัยแล้ว ต้องถือว่าเป็นที่สุด ใครจะมีความคิดเห็นแตกต่างออกไป ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคลนั้น
ด้านนายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. กล่าวว่า ประเด็นนี้ทาง กกต.ไม่ติดใจตั้งแต่ต้นแล้ว และในชั้นของการประชุมกมธ.ร่วม 3 ฝ่าย ตนได้ชี้แจง และลงมติ งดออกเสียงไปแล้ว ดังนั้น เวลานี้จึงไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ หากยังมีสมาชิกสนช. ติดใจ ก็คงไม่เกี่ยวกับทางกกต.แล้ว เป็นเรื่องของทางสนช. ที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ และหากมีการยื่นให้ศาลรธน. วินิจฉัย ก็ไม่มองว่าเป็นการยื้อเลือกตั้ง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี สนช. ผ่าน ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว.ว่า ส.ว. 5 ปีแรก มีความใกล้ชิดและผูกพันกับการเมืองหลังการเลือกตั้ง โดยการแบ่งกลุ่มเป็น 10 กลุ่ม จะทำให้เลือกคนของตัวเองได้ง่ายขึ้น เป็นไปตามเจตนาของคนบางคนได้มากขึ้น เมื่อเลือกเข้าไปแล้ว จะสอดคล้องกับ 5 ปีแรก ที่กำหนดให้ส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ขอให้รอดูคำตอบสุดท้ายว่า สนช.จะกลับมาเป็น ส.ว.กี่คน
สำหรับจุดยืนของประชาธิปัตย์ คือ เสรีนิยมประชาธิปไตย และสังคมสวัสดิการ นี่คือคำตอบของประชาธิปัตย์ ไม่เอาระบบราชการ และระบบประชานิยม หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ต้องยึดที่จุดยืนนี้ และคะแนนที่ประชาชนลงให้ จะเป็นตัวชี้ว่าพรรคจะทำอย่างไรต่อไป ทั้งนี้ ถ้ามีแนวทางระบอบทักษิณ พรรคประชาธิปัตย์ไม่ร่วมแน่นอน
ส่วนตัวในฐานะเป็นกมธ.วิสามัญที่พิจารณาร่างกฎหมายทั้งสองฉบับ คิดว่าไม่มีประเด็นปัญหาความชอบด้วยรธน. เนื่องจากรธน.ฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติให้การพิจารณา ร่าง พ.ร.ป.เป็นอำนาจหน้าที่ของ สนช. อย่างชัดเจน อีกทั้งการพิจารณาของสนช. ที่ผ่านมา ยังคงเนื้อหาของร่าง ตามที่กรธ. เสนอมายัง สนช.ไว้ถึง 90 % โดยมีเพียงการแก้ไขในส่วนบทเฉพาะกาลเท่านั้น
ส่วนกรณีที่ศาลรธน. วินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ชอบด้วยรธน. นายสมชาย กล่าวว่า เมื่อศาลรธน.วินิจฉัยแล้ว ต้องถือว่าเป็นที่สุด ใครจะมีความคิดเห็นแตกต่างออกไป ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคลนั้น
ด้านนายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. กล่าวว่า ประเด็นนี้ทาง กกต.ไม่ติดใจตั้งแต่ต้นแล้ว และในชั้นของการประชุมกมธ.ร่วม 3 ฝ่าย ตนได้ชี้แจง และลงมติ งดออกเสียงไปแล้ว ดังนั้น เวลานี้จึงไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ หากยังมีสมาชิกสนช. ติดใจ ก็คงไม่เกี่ยวกับทางกกต.แล้ว เป็นเรื่องของทางสนช. ที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ และหากมีการยื่นให้ศาลรธน. วินิจฉัย ก็ไม่มองว่าเป็นการยื้อเลือกตั้ง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี สนช. ผ่าน ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว.ว่า ส.ว. 5 ปีแรก มีความใกล้ชิดและผูกพันกับการเมืองหลังการเลือกตั้ง โดยการแบ่งกลุ่มเป็น 10 กลุ่ม จะทำให้เลือกคนของตัวเองได้ง่ายขึ้น เป็นไปตามเจตนาของคนบางคนได้มากขึ้น เมื่อเลือกเข้าไปแล้ว จะสอดคล้องกับ 5 ปีแรก ที่กำหนดให้ส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ขอให้รอดูคำตอบสุดท้ายว่า สนช.จะกลับมาเป็น ส.ว.กี่คน
สำหรับจุดยืนของประชาธิปัตย์ คือ เสรีนิยมประชาธิปไตย และสังคมสวัสดิการ นี่คือคำตอบของประชาธิปัตย์ ไม่เอาระบบราชการ และระบบประชานิยม หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ต้องยึดที่จุดยืนนี้ และคะแนนที่ประชาชนลงให้ จะเป็นตัวชี้ว่าพรรคจะทำอย่างไรต่อไป ทั้งนี้ ถ้ามีแนวทางระบอบทักษิณ พรรคประชาธิปัตย์ไม่ร่วมแน่นอน