ขณะที่ “เลือกตั้งเมืองไทย” คงยังต้องรอไปถึงกุมภาพันธ์ปีหน้าเป็นอย่างน้อย...วันนี้ลองแวบไปดู “เลือกตั้งอิตาลี” พลางๆ ก็แล้วกัน เผื่อพอได้อะไรที่อาจหยิบมาเป็นอุทาหรณ์สอนใจได้มั่งแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี ซึ่งโดยสรุปคร่าวๆ คงเป็นที่รับรู้ รับทราบกันไปบ้างแล้ว ว่าผู้ที่มาแรงแซงโค้ง ก็คือกลุ่มพรรคและพวก 2 กลุ่มใหญ่ๆ ที่อาจเรียกว่าพวก “ขวาสุดโต่ง” กับพวก “ซ้ายสุดโต่ง” ก็น่าจะพอได้ ขณะที่พวกกลางๆ พวกที่หนักไปทางเสรีนิยมหัวก้าวหน้า หรือเสรีนิยมใหม่ทั้งหลาย ต่างตกอยู่ในอาการหัวทิ่ม หัวตำ ไม่ต่างไปจากการเลือกตั้งของหลายต่อหลายประเทศในยุโรป...
คือพวกที่จัดอยู่ในประเภทขวาสุดโต่ง หรือพวกที่เรียกตัวเองว่า “แนวร่วมกลางขวา” (Centre Right Coalition) อันเกิดจากรวมตัวของพรรคชาตินิยมขวาจัด ประเภทต่อต้านผู้อพยพ ต่อต้านอียู ฯลฯ อย่างพรรค “Lega Nord” ของ “นายมัตเตโอ สลาวินี” (Matteo Slavini) ที่หันไปจับมือกับพรรค “Forza Italia” ของ “ทักษิณแห่งอิตาลี” หรือของอดีตนายกรัฐมนตรี “ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี” (Silvio Berlusconi) ผู้ที่น่าจะถูก “ก้าวข้ามทักษิณ” ไปนานแล้ว แต่ดันกลับมามีฤทธิ์มีเดช ด้วยการเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังนักการเมืองและพรรคการเมืองในอิตาลี แบบเดียวกับ “ทักษิณบ้านเรา” ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในทุกวันนี้ ผลเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เห็นว่า...สามารถคว้าเก้าอี้ในสภาฯ ไปได้ถึง 37 เปอร์เซ็นต์...
ส่วนพวกที่จัดอยู่ในประเภทซ้ายสุดโต่ง ซึ่งในที่นี้คงไม่ได้หมายถึงพวกที่หัวเอียงไปทางคอมมิวนิสต์ หรือสังคมนิยมไปซะทั้งหมด แต่จัดอยู่ในประเภทที่เรียกๆ กันว่าพวก “ต่อต้านสถาบัน” หรือ “ต่อต้านระบบ” (Anti Establishment) คือพวกที่ไม่เอาทั้งพรรคการเมืองฝ่ายค้านและรัฐบาล ซึ่งมักตกอยู่ภายใต้ “ระบบ” อันถูกครอบงำโดยอำนาจอิทธิพลระดับโลก หรือโดยอิทธิพลของทุนนิยมเสรีโลกาภิวัตน์มาโดยตลอด แบบเดียวกับพวก “ออคคิวพาย วอลล์สตรีท” (Occupy Wall Street) ในอเมริกา หรือพวก “อินดิกนาดอส” (Indignados) ในสเปน ฯลฯ อะไรประมาณนั้น โดยที่ในอิตาลีกระแสแห่งการต่อต้านระบบทำนองนี้ ได้ถูกจุดประกายขึ้นโดยอดีตดาวตลกชาวอิตาลี ผู้มีนามกรว่า “นายเบปป์ กริลโล” (Beppe Grillo) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 โน่นเลย จนเติบโตแบบก้าวกระโดดกลายมาเป็นพรรคการเมืองที่โตวัน โตคืน อย่างพรรค “Five Star Movement” ภายใต้การนำของคนหนุ่มอายุแค่ 31 ปี อย่าง “ลุยจิ ดิ ไมโอ” (Luigi Di Maio) และสามารถคว้าเก้าอี้ในการเลือกตั้งคราวนี้ได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์โดยไม่ต้องไปทำแนวร่วมกับใคร...
ส่วนพวกกลางๆ ที่ถูกเรียกขานกันในนาม “แนวร่วมกลางซ้าย” (Centre-Left Coalition) ที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์อิตาลี หรือพรรค “Democratic Party” ของ “นายมัตเตโอ เรนซี” (Matteo Renzi) นั้น คว้าเก้าอี้ไว้ได้เพียงแค่ 19 เปอร์เซ็นต์ ออกอาการหัวทิ่ม หัวตำ ไม่ต่างไปจากบรรดาพรรครัฐบาล-ฝ่ายค้าน ที่ต่างอยู่ภายใต้ “ระบบ” ในประเทศยุโรปทั้งหลาย ซึ่งหนีไม่พ้นต้องเจอกับกระแสชาตินิยม กระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์ ต่อต้านระบบ ต่อต้านอียู ไม่ว่าจะถูกแสดงออกมาในรูป Brexit, Frexit, Nexit ฯลฯ อันแทบไม่ได้ต่างอะไรไปจากกระแส “เอาทรัมป์” ในอเมริกานั่นเอง เล่นงานชนิดเดี้ยงกันไปเป็นแถบๆ แถมยังไม่ได้ออกอาการฟื้นคืนสติเอาเลยแม้แต่น้อยจนตราบเท่าทุกวันนี้ หรือต่างต้องตกอยู่ในสภาวะไร้เสถียรภาพ ไร้ความมั่นคงทางการเมืองไปโดยตลอด ไม่ว่าประเทศไหนต่อประเทศไหน...
อภิมหานักคิด นักวิชาการบางราย อย่าง “นอม ชอมสกี้” (Noam Chomsky) เคยสรุปถึงที่มา-ที่ไปของกระแสเหล่านี้เอาไว้น่าคิด น่าสนใจ ไม่น้อย คือสรุปว่า...มีที่มาเนื่องจาก “ความล้มเหลวของพวกเสรีนิยมยุคใหม่” นั่นเอง หรือพวกบ้าโลกาภิวัตน์ที่ถูกขับเคลื่อนโดยทุนนิยมเสรี พวกที่ตื่นเต้น ยินดีต่อกระแส “ลัทธิเสรีนิยมใหม่” ที่ถูกจุดประกายขึ้นมาตั้งแต่ช่วงก่อนปี ค.ศ. 2000 หลังจาก “สงครามเย็น” ยุติลงไปหมาดๆ ที่ทำให้เกิดความเชื่อขึ้นมาว่า...โลกนับแต่นี้ มีแต่ “ทุนนิยม” เท่านั้นที่จะอยู่ยั้ง ยืนยง คงทนถาวรไปตลอดชั่วนิจนิรันดร์กาล และด้วยเหตุเพราะ “ทุน” ไม่มีพรมแดน โลกจึงย่อมไม่มีพรมแดนอีกต่อไป ระบอบการเมือง การปกครองของประเทศใดๆ ก็ตามบนโลกใบนี้ จะต้องเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ตั้งอยู่บนฐานทุนนิยมเสรี อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ แม้แต่กฎ ระเบียบต่างๆ ไปจนวัฒธรรม ประเพณี เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ใดๆ ก็ตาม ของ “รัฐชาติ” แต่ละชาติ ที่อาจเป็นอุปสรรคขัดขวางต่อโลกยุคใหม่ หรือต่อลัทธิเสรีนิยมยุคใหม่ จะต้องถูกขจัดกวาดล้างออกไป หรือต้องเปิดทางให้กับโลกาภิวัตน์ที่ถูกขับเคลื่อนโดยทุนนิยมเสรีอย่างไม่มีข้อยกเว้น...
ช่วงระยะนั้น...แม้แต่บ้านเรา ก็ยัง “บ้าตาม” ไปด้วยมิใช่น้อย ใครที่ไม่เคยอ่านหนังสือเรื่อง “Future Shock”, “The Third Wave” หรือ “Power Shift” ของ “นายอัลวิน ทอฟเลอร์” (Alvin Toffler) นักโฆษณาแห่งลัทธิเสรีนิยมใหม่ ออกจะเป็นอะไรที่ “เชยซ์ซ์ซ์ไม่เสร็จ” เอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ภายใต้ช่วงระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่ทศวรรษเท่านั้นเอง ด้วย “ความล้มเหลวของพวกเสรีนิยมยุคใหม่” นี่เอง ที่ได้กลายเป็นตัวปลุกกระตุ้นกระแสชาตินิยม ท้องถิ่นนิยม ไปจนศาสนานิยม ตีคู่ไปกับกระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์ ต่อต้านระบบ ไปจนต่อต้านอียู ชนิดลุกลามบานปลายจนส่งผลให้ “สหภาพยุโรป” ทั้งยุโรป ทำท่าว่า “ใกล้พัง” เอาง่ายๆ!!! ซึ่งผลเลือกตั้งอิตาลีคราวนี้...ก็คือภาพสะท้อนของกระแสที่ว่านั่นเอง...
ส่วนที่น่าสังเกต น่าสนใจเอามากๆ และอาจนำมาเป็นอุทาหรณ์สอนใจให้กับบ้านเราได้มั่ง ก็คือไม่ว่าสถานการณ์การเมืองในยุโรป ในอิตาลี จะผันผวน ปั่นป่วนไปถึงขั้นไหน หรือจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามแต่ แต่สำหรับ “นักฉวยโอกาส” หรือ “Opportunist” ทางการเมืองทั้งหลายแล้ว การผงาดกลับขึ้นมามีบทบาท มีฤทธิ์ มีเดช ของ “ทักษิณแห่งอิตาลี” หรือของอดีตนายกรัฐมนตรี “ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี” คราวนี้ ต้องถือเป็นเครื่องเตือนสติ เตือนใจให้กับบรรดากลุ่มการเมือง-พรรคการเมืองทั้งหลายในบ้านเรา อย่าได้หันมา “กัดกันเอง” ให้มากมายเกินไปนัก มิเช่นนั้น...ไปๆ-มาๆ อาจต้องเสร็จ “ทักษิณแห่งประเทศไทย” แบบซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าไปตลอดชั่วนิรันดร์กาลเอาเลยก็ไม่แน่???