xs
xsm
sm
md
lg

สภาวะ ‘ผะอืดผะอม จนไค่ฮาก!’

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์


นักแสวงโชคทางการเมืองมากกว่า 40 กลุ่มได้เริ่มทยอยแสดงความต้องการจะตั้งพรรคเพื่อเข้าชิงอำนาจในการกุมอำนาจรัฐผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ใครมีเสียงเด็ดขาดหรือมีพลังเพียงพอในการรวบรวมจัดตั้งรัฐผสม แล้วแต่การต่อรองผลประโยชน์ว่าลงตัวหรือไม่

การเมืองน้ำเน่าดินแดนสยามเมืองยิ้มแห้งจะถือเป็นสาระ มีอุดมการณ์จริงจังไม่ได้ เอาเพียงแต่มีกลุ่มต่างๆ น่าจะมากกว่าครึ่งร้อยอยากตั้งพรรคการเมืองสะท้อนให้เห็นความหลากหลายสายพันธุ์ของพวกที่ถูกมองว่าเป็นนักลงทุนเลือกตั้งเพื่ออำนาจรัฐ

เดิมพันแท้จริงคือขุมทรัพย์มหาศาลในรูปแบบของงบประมาณแผ่นดิน เงินกู้ และจากพ่อค้า ข้าราชการ จัดสรรปันส่วนผลประโยชน์ถอนทุนคืน บวกกำไรหลายเท่าตัวขึ้นอยู่กับอำนาจ โอกาส จากนั้นสะสมทุนเสริมฐานให้แข็งแกร่งอยู่ได้กินยาวหลายสมัย

ถ้านักเลือกตั้ง นักการเมือง ผู้บริหารบ้านเมืองมาจากการเลือกตั้ง การซื้อเสียง การรัฐประหาร เป็นคนใจซื่อมือสะอาด เปี่ยมด้วยคุณธรรม ศีลธรรม ยางอาย มุ่งทำงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน บ้านเมืองคงไม่ดูน่าอนาถ นิติรัฐล้มเหลวดังเช่นปัจจุบัน

ที่ผ่านมา เราได้เห็นนักแสวงโชคทางการเมืองภายใต้ชื่อพรรคต่างๆ ดูดี หน้าตาผู้กุมอำนาจในพรรคเริ่มต้นอยู่ในระดับที่ชาวบ้าน “มีข้อสงสัยแต่ยกผลประโยชน์ให้” จนมีกลิ่นฉาวโฉ่เรื่องพฤติกรรมกังฉินกินเมือง ทรยศต่อชาติ และความเชื่อมั่นของประชาชน

กลุ่มนักแสวงโชค หรือนักเสี่ยงโชคลงขันทางการเมืองชุดแรกเป็นพวกจะตั้งพรรคใหม่ แม้จะมีพวกหน้าเดิมน่าเบื่อหน่ายอยู่มากมาย หรือคนประเภท “ชาวบ้านเห็นหน้า ได้ยินชื่อก็รู้ว่าเป็นอย่างไร” ส่วนใหญ่มีความเหมือนคือ “มีความกล้า ไม่รู้จักความอาย”

ที่มานั่งแถลงข่าวเป็นวรรคเป็นเวร เรื่องเจตนาอุดมการณ์นั่นนี่โน่นของกลุ่มนั้น จะว่าเป็นฉากแรกของการ “โกหกซึ่งหน้า” ก็คงไม่ผิด ไม่มีใครหรอกที่ยอมรับว่าต้องการเข้ามากุมอำนาจรัฐเพื่อจ้องหาโอกาสโกง สร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองและพวกพ้องผู้ร่วมลงทุน

แม้แต่พวกที่มาจากยึดอำนาจ ยังมีคำพูดว่า “รัฐประหารแล้วรวย” ดังที่เห็นทุกวันนี้ มีแต่เรื่องเน่าๆ ฉาว ชาวบ้านรู้เห็นทั่วประเทศ แต่มีคำอ้างว่าเป็น “เรื่องส่วนตัว” ดังนั้นความกล้า ความไม่รู้จักอาย ไม่จำกัดเฉพาะนักเลือกตั้งเก่า นักการเมืองใหม่ก็เป็น

ถึงได้มีความเชื่อว่าบ้านนี้เมืองนี้ไร้อนาคตมั่นคง ทุกวันนี้ยังไม่รู้ว่าอะไรรออยู่ข้างหน้า จะเป็นวิกฤตการเมือง เศรษฐกิจ สังคม หรือความรุ่งโรจน์ ขึ้นอยู่กับความเปลี่ยนแปลงด้านดีที่จำเป็นต้องมี ช้าไม่ได้ด้วย และไม่มีทางมาจากการเลือกตั้งเด็ดขาด

ไม่อย่างนั้นจะมีคำพูดที่ว่า “ไม่อยากมีเลือกตั้ง แต่ไม่อยากให้รัฐบาลนี้อยู่” เป็นภาวะที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออก หัวร่อมิได้ ร่ำไห้มิออก หนีเสือปะจระเข้ หนีจระเข้ปะตัวเอี้ย อัปรีย์ไปจัญไรมา นั่นอย่างไร จึงไม่มีใครคาดได้ว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไร

กรุงเทพโพลล์ล่าสุดบอกว่าคุณท่านผู้นำบ้านเมืองยัง “ขาลง” ต่อเนื่อง ความนิยมต่ำลง แม้จะเดินสายพบปะชาวบ้านแจกโครงการประชานิยมภายใต้คำว่าไทยนิยม แต่ผลงานไม่ประทับใจสะสมตั้งแต่ปีแรกไม่สามารถฟื้นฟูความนิยม น่าเชื่อถือได้แล้ว

จึงเป็น “ขาลง ขาลอย สู่ขาออก” เท่านั้น แล้วแต่ว่าจะคิดออกเอง หรือมีเหตุทำให้ต้องออก เพราะการเมืองที่มาจากโอกาส อำนาจ วาสนา ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและผลงาน จากนั้นเมื่อสิ้นอำนาจ สิ่งที่จะตามมาคือ “ชะตากรรม” ดีหรือร้ายสุดแล้วแต่พฤติกรรม

ทุกวันนี้ชาวบ้านส่วนหนึ่งยังถามตัวเองว่า ทำไมจึงไม่มีการปฏิรูปอะไรทั้งสิ้น เพื่อปรับปรุงโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ก่อนการเลือกตั้ง มีแต่เสียงทวงบุญคุณจากผู้ใหญ่ผู้โต แถมยังกำชับด้วยว่า “ภายหน้าถ้ามีเรื่องความไม่สงบ อย่ามาโทษพวกผม”

เมื่อมีคำย้อนถามว่า “ทำไมไม่ปฏิรูป ก็ไม่ตอบ” ก็ต้องถามว่า “ผ่านเกือบ 4 ปี ถ้าไม่มีการปฏิรูป แล้วจะอยู่ต่อเพื่ออะไร” ก็ไม่มีคำตอบเช่นกัน มีแต่ท่าทีว่าอยากอยู่ต่อ ทั้งๆ ที่เป็นสภาวะ “ขาลง” อย่างน้อย 4-5 กลุ่มนักแสวงโชคร่ำร้องอยากให้เป็นผู้นำต่อ

เดินสายไปแจกจ่ายงานประชานิยมหลายจังหวัด มีวาทกรรมพื้นๆ ตื้นๆ คนรู้ทันไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์ ก็ยังไม่กระเตื้อง มีปัญหาการทุจริต โกงเงินคนจนหน้าด้านๆ ยังไม่ส่อแววว่าจะสอบให้ถึงตัวใหญ่ระดับเสนาบดี ตามคำคุยโวว่าจะปราบทุจริต คอร์รัปชัน

ยุคก่อนมีสโลแกนว่า “ครัวไทยสู่ครัวโลก” ทั้งๆ ที่อาหารที่ชาวบ้านเปิบเข้าไปทุกวันนี้ปนเปื้อนด้วยสารพิษ เคมียาฆ่าแมลง ทำให้คนไทยตายผ่อนส่ง ไปจันทบุรีประกาศว่าจะให้ไทยเป็นมหาอำนาจทางผลไม้ ไม่มองว่าการค้าขายอยู่ในมือ “ล้ง” ชาวจีนไปแล้ว

ไปประชานิยมย่านเพชรบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ก็ประกาศอีกว่าจะให้เมืองไทยเป็นฮับของสินค้าอาหารทะเล โดยจะรู้หรือไม่ว่าอาหารทะเลปนเปื้อนด้วยสารฟอร์มาลิน กุ้งเลี้ยงมีแต่ยาปฏิชีวนะ ไม่ต่างจากหมู ไก่ ที่เลี้ยงด้วยระบบวิทยาศาสตร์

โธ่! พร่ำเรื่อง “ศาสตร์พระราชา “ แต่ไม่มีปฏิบัติอย่างมีแก่นสารด้าน “เศรษฐกิจพอเพียง” เกษตรอินทรีย์ มีแต่ยื้อหาทางให้พ่อค้าสารพิษ “พาราควอต” ป้อนให้คนไทยตายผ่อนส่งผ่านการปนเปื้อนในสินค้าเกษตร แม่น้ำ 48 สายทั่วประเทศมีแต่สารพิษ

ภารกิจขั้นแรกของผู้นำบ้านเมืองคือการรับผิดชอบชีวิต ความเป็นอยู่ของประชาชนให้มีชีวิตปลอดภัย กินดี อยู่ดี ดูแลทุกข์ร้อน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ที่ผ่านมามีแต่ความพยายามหนี หลีกเลี่ยงการพบปะกับชาวบ้านยากจนมีทุกข์ร้อนสุมเต็มหัวอก

ภาพการตะคอกใส่หน้าชาวบ้านที่นครศรีธรรมราช การไม่ยอมพบกับชาวสวนยาง หรือกลุ่มทุกข์ร้อนอื่นๆ ทำให้ชาวบ้านได้เห็นธาตุแท้ว่าผู้ใหญ่ผู้โตเป็นบุคคลเยี่ยงไร และก็ชอบเหลือเกินที่จะเปิดงานให้พ่อค้า เศรษฐี ปิดห้องคุยกับนักเลือกตั้งไม่เลือกสีเทา สีดำ

ไม่อยากมีเลือกตั้งเจอหน้าเดิมๆ ไม่อยากอยู่กับพวกปัจจุบัน เราจะทำอย่างไรดี!


กำลังโหลดความคิดเห็น