อย่างที่ทิ้งท้ายเอาไว้เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว...ว่านับตั้งแต่เกิด “วิกฤตการเงินโลก” ครั้งใหญ่ ในปี ค.ศ. 2008 ความวิปริต ผันผวน และความไม่น่าไว้วางใจเงินสกุลหลักๆ ของโลก อย่างเงินดอลลาร์ ทำให้บรรดาประเทศหลายต่อหลายประเทศโดยเฉพาะในยุโรป ต่างเริ่มหันกลับมาให้ความสนใจกับ “ทองคำ” ในฐานะหลักประกันความเสี่ยงและการสร้างความปลอดภัยให้กับระบบการเงินของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย เบลเยียม สวิส ฯลฯ ไปจนประเทศที่มีทองคำสำรองอันดับ 2 ของโลกอย่างเยอรมนี ต่างเริ่มหันไปทวงทองคำที่ฝากเอาไว้ในคลังสำรองของสหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส คืนมายังประเทศตัวเองเป็นแถวๆ...
เยอรมนีนั้น...ได้ทวงทองคำที่ฝากไว้ในคลังสำรองสหรัฐฯ จำนวน 300 ตัน จากจำนวนทั้งหมด 1,500 ตัน เพื่อเอามาเก็บไว้ ณ คลังสำรองของเยอรมนี ที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 เป็นต้นมา แต่ผ่านมา 1 ปี ในปี ค.ศ. 2013 คลังสำรอง “New York Federal Reserve” สามารถส่งทองคำกลับไปให้เยอรมนีได้แค่ 5 ตันเท่านั้นเอง ปี ค.ศ. 2014 ดีขึ้นมาหน่อย คือสามารถทยอยส่งได้อีก 120 ตัน แต่โดยสรุปรวมความแล้ว...กว่าจะส่งคืนให้ครบทั้งจำนวน 300 ตัน ตามที่เยอรมนีต้องการ “New York Federal Reserve” ต้องขอต่อรองให้ยืดระยะเวลาออกไปประมาณ 7 ปี จากเดิมทีที่เยอรมนียื่นคำขาดขอส่งมอบให้ครบภายใน 5 ปีเท่านั้นสุดท้าย...หลังจากเจรจาต่อรองกันไป-กันมา เลยต้องยืดเวลาไปจนถึงปี ค.ศ. 2020 ด้วยลักษณะอาการแบบอิดๆ ออดๆ ยื้อไป-ยื้อมาเช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้เกิด “คำถาม” ตัวโตๆ ถึงทองคำในคลังสำรองของสหรัฐฯ ที่ว่ากันว่าเคยมีอยู่สูงสุดในโลกมากถึงกว่า 8,000 ตันนั้น เอาเข้าจริงๆ แล้ว...จะเหลืออยู่เท่าหนวดกุ้ง หรือใหญ่โตเท่าโซ่รถไฟกันแน่!!!
ยิ่งในช่วงปี ค.ศ. 2014 ช่วงที่เยอรมนีเร่งทวง เร่งกดดันขอทองคำคืนจากสหรัฐฯ ชนิดวันแล้ว วันเล่า ก็ดันเกิดข่าวลืออัปมงคลที่ยิ่งส่งผลให้เกิดจินตนาการที่เลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก คือช่วงระหว่างนั้น หรือช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ต้นปี ค.ศ. 2014 เป็นช่วงที่เกิดการปฏิวัติรัฐประหารในประเทศยูเครนพอดิบพอดี เป็นการปฏิวัติรัฐประหารโดยฝูงชนที่นำโดยกลุ่มการเมืองซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนอย่างออกหน้า ออกตา เพื่อเล่นงานประธานาธิบดีผู้ฝักใฝ่รัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “วิกเตอร์ ยานูโควิช” (Viktor Yanukovych) จนต้องเผ่นหนีออกนอกประเทศ ไปตั้งหลักที่รัสเซียแทบไม่ทัน แต่ระหว่างเหตุการณ์กำลังชุลมุนวุ่นวายอยู่นั้น ว่ากันว่า...ได้มีเครื่องบินลึกลับลำหนึ่ง บรรทุกทหารหน่วยปฏิบัติการพิเศษจำนวน 15 นาย พร้อมอาวุธครบมือ บินมายังสนามบิน “Boryspil Airport” ของยูเครน จากนั้น...ได้ปฏิบัติการลำเลียง “ทองคำสำรอง” ของประเทศยูเครนจำนวนเกือบ 42.3 ตัน หรือคิดเป็นประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ทุนสำรองทั้งหมดของประเทศ ขนเอาไปไว้ที่ประเทศอเมริกาแบบดื้อๆ ทื่อๆ!!! โดยทองคำที่ว่า จะเป็นทองคำที่ถูกนำมาส่งคืนให้เยอรมนีได้แบบหวุดหวิดๆ หรือไม่ ประการใด ก็ยังไม่อาจหาคำตอบ หาคำอธิบายที่ชัดเจน ได้จนตราบเท่าทุกวันนี้...
คือสรุปง่ายๆ ว่า...โดยลักษณะอาการของคุณพ่ออเมริกาที่เคยดูอู้ฟู่ มั่งคั่ง ร่ำรวยขี้แตกขี้แตน มีทองคำสำรองสูงสุดของโลก มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่โตมหาศาลกว่าใครเพื่อน แต่มาขณะนี้...แค่จะหาทองไปคืนให้กับผู้ที่ทวงคืนแค่ไม่กี่ตันเท่านั้นเอง ยังออกอาการอึกๆ อักๆ กึกๆ กักๆ ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ต่างไปจากประเทศมหาอำนาจคู่แข่ง หรือประเทศ “Rival Power” อย่างคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซีย ที่นอกจากไม่ต้องโดนใครต่อใครทวงทองคืนแล้ว ยังตะลุยซื้อทอง เก็บทอง และผลิตทอง จนกลายเป็นประเทศที่มีทองคำสำรองเป็นอันดับ 5 อันดับ 6 ของโลก แถมยังเป็นประเทศผู้ผลิตทองคำระดับแนวหน้า จีนนั้นถือเป็นอันดับ 1 คือสามารถผลิตทองคำได้ถึง 420 ตันในปี ค.ศ. 2013 ส่วนรัสเซียถือเป็นอันดับ 4 สามารถผลิตทองคำได้ 220 ตันในปีเดียวกัน ตามหลังคุณพ่ออเมริกาที่อยู่อันดับ 3 มาติดๆ...
ดังนั้น...ภายใต้ภาวะที่ “วิกฤตการเงินโลก” ได้ส่งผลให้เกิด “อัตราเสี่ยง” เพิ่มขึ้นๆ ต่อเงินตราสกุลต่างๆ โดยเฉพาะ “เงินสกุลดอลลาร์” ที่พยายามควบคุม บงการโลกทั้งโลกมาโดยตลอด การที่คุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซียท่านหันไปให้ความสำคัญกับ “ทองคำ” พยายามชี้ชวน ชักชวน ให้ใครต่อใครหันไปใช้สิ่งเหล่านี้เป็นหลักประกัน แทนที่จะต้องทนเสี่ยงกับเงินดอลลาร์อีกต่อไป ไปจนกระทั่งพยายามจัดตั้งระบบการซื้อ-ขายทองคำขึ้นมาใหม่ในกลุ่มประเทศพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิด อย่างกลุ่ม “BRICS” เป็นต้น เพื่อให้เกิดการสะท้อนมูลค่า ราคาที่เป็นจริง กว่าที่เคยถูกกำหนดโดยตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก...ฯลฯ อันนี้นี่แหละ...ที่แทบไม่ต่างอะไรไปจากการฉวย “ม้า” หรือฉวย “โคน” แล้วกระแทกลงไปกลางกระดาน พร้อมกับเปล่งเสียงตะโกนคำว่า “รุก” ชนิดดังสนั่นไปทั่วทั้งโลก หรือทั้งกระดาน...นั่นแล...
อย่างไรก็ตาม...มาถึง ณ ขณะนี้ ไม่ว่าคุณพี่จีน คุณน้ารัสเซีย จะเก็บทอง สะสมทองไว้เท่าไหร่ มากกว่าตัวเลขที่เปิดเผยอย่างเป็นทางการไปถึงขั้นไหน และคุณพ่ออเมริกาจะเหลือปริมาณทองคำสำรองตามตัวเลขที่เคยได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นทางการหรือไม่ อย่างไร แต่การที่โลหะมีค่าอย่าง “ทองคำ” เริ่มกลับมามีความสำคัญขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ไม่ว่าจะมองมุมไหน ต่อมุมไหน ในสายตานักสังเกตการณ์โดยส่วนใหญ่ล้วนเห็นพ้องต้องกันว่า มันคือภาพสะท้อนถึง “ความไม่แน่นอน” หรือ “ความไม่มั่นคง” ของระบบการเงินโลกนั่นเอง และยิ่งทองคำทวีความสำคัญยิ่งขึ้นไปเท่าไหร่ ย่อมถือเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่า “วิกฤตการเงินโลกครั้งใหม่” อาจมาถึงเร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น และภายใต้วิกฤตที่ว่านี้...ทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะเป็นไปตามข้อวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การทอง โดยส่วนใหญ่ ที่สรุปเอาไว้ประมาณว่า “He Who Has the Gold Makes the Rules.” หรือใครก็ตามที่มี “ทองคำ” ไว้ในมือ ผู้นั้น...ก็คือผู้ที่สามารถเขียนกฎ หรือ “ผู้คุมกฎ” ของระบบการเงินโลกในอนาคตข้างหน้านั่นเอง...