“สุวพันธุ์”สั่ง "สำนักพุทธฯจังหวัด” จับตา “วัดพระธรรมกาย” ทุกสาขา ทำกิจกรรม ฮึ่มจะไม่เห็นภาพคนเดินโปรยดอกไม้ริมถนน ขัดพระธรรมวินัย สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านอีกแล้ว โบ้ย ดีเอสไอ-ตม.ตามจับ "ธัมมชโย" ยัน "สมีนิพนธ์" ถูกจับสึกแล้ว-ลุยอาญาต่อ จี้ล้างพระนอกรีต
วานนี้ (1 มี.ค.) นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการแก้ปัญหาวัดพระธรรมกาย และการติดตามหาตัวพระธัมชโย ว่า เรื่องนี้ทาง พศ.รายงานมาให้ทราบแล้วว่าได้ประสานงานกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด(พศจ.)ทั่วประเทศ ที่มีวัดสาขาของวัดพระธรรมกายตั้งอยู่หากมีการจัดงานทางวัดเขาก็จะรายงานเจ้าคณะจังหวัดให้ทราบและประสานงานกับผู้อำนวยการพศจ.ในจังหวัดนั้นๆ ว่ามีการจัดกิจกรรมอย่างไร
“ดังนั้นเราจะไม่เห็นภาพที่เดินโปรยดอกไม้ริมถนนอีกแล้ว เพราะหากมีการทำกิจกรรมทางวัดจะแจ้งให้ทราบว่าจะทำกิจกรรมใดบ้าง เช่น การนั่งรถบัสเข้าไปแล้วทำกิจกรรมในพื้นที่อะไรบ้าง เป็นต้น โดยสิ่งที่ทำจะต้องไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย สังคมและประชาชนไม่เดือดร้อน” นายสุวพันธุ์ ระบุ
ส่วนการติดตามหาตัวพระธัมชโยนั้น นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า ขอให้สอบถามจากทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) ซึ่งทำงานร่วมกันอยู่กับสำนักพุทธฯ
สำหรับความคืบหน้ากรณีอดีตพระครูภาวนา โสภิต (พระครูปลัดนิพนธ์ ธัมมทีโป)หรือ"สมีนิพนธ์" อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าปฐมชัย จ.นครปฐม ถูกร้องเรียนเรื่องการเสพเมถุน ยักยอกทรัพย์ และข้อสงสัยต่อการบริหารจัดงานด้านการเงินภายในวัดนั้น นายสุวพันธุ์กล่าวว่า พระครูภาวนา โสภิตถูกจับสึกแล้ว ซึ่งในทางธรรมถือว่าเรื่องจบแล้ว แต่สำหรับในทางโลก จะต้องตรวจสอบว่ามีเรื่องใดบ้าง เช่น เรื่องเงินหรือเรื่องผู้หญิงที่ผิดทางอาญา ก็จะต้องถูกดำเนินการเอาผิดตามข้อกฎหมาย
นายสุวพันธ์ กล่าวต่อถึงการแก้ปัญหาพระนอกรีตว่า ยืนยันว่าทางคณะสงฆ์ไม่ได้นิ่งดูดายในเรื่องดังกล่าว และทางคณะสงฆ์ได้กำชับในเรื่องนี้ เพราะคณะสงฆ์ไม่ต้องการให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ขึ้น คณะสงฆ์ดูแลเรื่องนี้อยู่ ส่วนที่ไม่ดีมีอยู่ก็ต้องยอมรับในข้อเท็จจริง ก็ต้องเป็นเรื่องของพระสังฆาธิการของคณะสงฆ์ ไม่ว่าเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล อำเภอ จังหวัด ที่จะต้องช่วยดูแลเรื่องเหล่านี้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น ซึ่งการแก้ปัญหามีระบบของการตรวจสอบไม่ว่าจะพระบวชใหม่หรือบวชอยู่เดิม มีระบบการทำบัตรประจำตัวพระสงฆ์ แบบสมาร์ทการ์ด แทนใบสุทธิ แทนบัตรประจำตัวเพื่อดูแลใกล้ชิดให้มากขึ้น
ส่วนกรณีปัญหาพระต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยนั้น เวลามีเรื่องก็ลงไปตรวจสอบกันที ซึ่งไม่ใช่ทิศทางแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ จึงได้มีการกำชับเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะอาจจะมีพระที่บวชแล้วมาแฝงหาประโยชน์ที่มิชอบด้วยพระธรรมวินัยดังนั้นพระวินยาธิการ(ตำรวจพระ) ที่ดูแลออกตรวจตราก็ต้องเข้มงวดด้วย.
วานนี้ (1 มี.ค.) นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการแก้ปัญหาวัดพระธรรมกาย และการติดตามหาตัวพระธัมชโย ว่า เรื่องนี้ทาง พศ.รายงานมาให้ทราบแล้วว่าได้ประสานงานกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด(พศจ.)ทั่วประเทศ ที่มีวัดสาขาของวัดพระธรรมกายตั้งอยู่หากมีการจัดงานทางวัดเขาก็จะรายงานเจ้าคณะจังหวัดให้ทราบและประสานงานกับผู้อำนวยการพศจ.ในจังหวัดนั้นๆ ว่ามีการจัดกิจกรรมอย่างไร
“ดังนั้นเราจะไม่เห็นภาพที่เดินโปรยดอกไม้ริมถนนอีกแล้ว เพราะหากมีการทำกิจกรรมทางวัดจะแจ้งให้ทราบว่าจะทำกิจกรรมใดบ้าง เช่น การนั่งรถบัสเข้าไปแล้วทำกิจกรรมในพื้นที่อะไรบ้าง เป็นต้น โดยสิ่งที่ทำจะต้องไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย สังคมและประชาชนไม่เดือดร้อน” นายสุวพันธุ์ ระบุ
ส่วนการติดตามหาตัวพระธัมชโยนั้น นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า ขอให้สอบถามจากทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) ซึ่งทำงานร่วมกันอยู่กับสำนักพุทธฯ
สำหรับความคืบหน้ากรณีอดีตพระครูภาวนา โสภิต (พระครูปลัดนิพนธ์ ธัมมทีโป)หรือ"สมีนิพนธ์" อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าปฐมชัย จ.นครปฐม ถูกร้องเรียนเรื่องการเสพเมถุน ยักยอกทรัพย์ และข้อสงสัยต่อการบริหารจัดงานด้านการเงินภายในวัดนั้น นายสุวพันธุ์กล่าวว่า พระครูภาวนา โสภิตถูกจับสึกแล้ว ซึ่งในทางธรรมถือว่าเรื่องจบแล้ว แต่สำหรับในทางโลก จะต้องตรวจสอบว่ามีเรื่องใดบ้าง เช่น เรื่องเงินหรือเรื่องผู้หญิงที่ผิดทางอาญา ก็จะต้องถูกดำเนินการเอาผิดตามข้อกฎหมาย
นายสุวพันธ์ กล่าวต่อถึงการแก้ปัญหาพระนอกรีตว่า ยืนยันว่าทางคณะสงฆ์ไม่ได้นิ่งดูดายในเรื่องดังกล่าว และทางคณะสงฆ์ได้กำชับในเรื่องนี้ เพราะคณะสงฆ์ไม่ต้องการให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ขึ้น คณะสงฆ์ดูแลเรื่องนี้อยู่ ส่วนที่ไม่ดีมีอยู่ก็ต้องยอมรับในข้อเท็จจริง ก็ต้องเป็นเรื่องของพระสังฆาธิการของคณะสงฆ์ ไม่ว่าเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล อำเภอ จังหวัด ที่จะต้องช่วยดูแลเรื่องเหล่านี้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น ซึ่งการแก้ปัญหามีระบบของการตรวจสอบไม่ว่าจะพระบวชใหม่หรือบวชอยู่เดิม มีระบบการทำบัตรประจำตัวพระสงฆ์ แบบสมาร์ทการ์ด แทนใบสุทธิ แทนบัตรประจำตัวเพื่อดูแลใกล้ชิดให้มากขึ้น
ส่วนกรณีปัญหาพระต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยนั้น เวลามีเรื่องก็ลงไปตรวจสอบกันที ซึ่งไม่ใช่ทิศทางแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ จึงได้มีการกำชับเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะอาจจะมีพระที่บวชแล้วมาแฝงหาประโยชน์ที่มิชอบด้วยพระธรรมวินัยดังนั้นพระวินยาธิการ(ตำรวจพระ) ที่ดูแลออกตรวจตราก็ต้องเข้มงวดด้วย.