xs
xsm
sm
md
lg

‘สี จิ้นผิง’ กระชับอำนาจสู่จุดสูงสุด...

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์

<b>นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน</b>
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีนถูกมองว่ากำลังกระชับอำนาจด้วยการเข้าสู่สภาวะของผู้นำประเทศโดยไม่มีกำหนดวาระสิ้นสุด หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์ประกาศจะแก้ธรรมนูญพรรคที่จำกัดการเป็นผู้นำชาติเพียง 2 สมัยหรือเพียง 10 ปี

สี จิ้นผิง ทำได้เพราะยังอยู่ในความนิยมของประชาชน มีผลงานที่เน้นย้ำในการปราบปรามการทุจริต คอร์รัปชัน แม้แต่ผู้ทรงอิทธิพลด้านการเมือง เศรษฐกิจ การค้าของประเทศก็ไม่ถูกละเว้น มหาเศรษฐีระดับพันล้านหลายรายถูกประหารชีวิต ถูกขังคุกก็มาก

ทั้งนี้เพราะผู้ทรงอิทธิพลเหล่านั้นถูกมองว่าเป็นเจ้าพ่อ มาเฟีย ทำธุรกิจโดยไม่สุจริต ส่วนข้าราชการระดับสูงก็มีความมั่งคั่งอย่างน่าสงสัย ดังนั้นการกำจัดคนโกงในบ้านเมืองเหมือนยิงกระสุนนัดเดียวได้นกหลายตัว เพราะในกลุ่มนั้นมีคู่แข่งอยู่ด้วย

ท่าทีของ สี จิ้นผิงในความพยายามที่จะทอดอำนาจอยู่ยาวเริ่มเป็นที่สังเกตในช่วงที่ยังอยู่ในสมัยแรก หลังจากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 ซึ่งจะสิ้นสุดในปี 2563 สี จิ้นผิง ได้แสดงให้เห็นว่าตนเองมีขีดความสามารถที่จะทำงานอยู่ได้อีกหลายปี

ปีนี้อายุเพิ่งย่างเข้า 64 ยังนับว่าหนุ่มสำหรับการเป็นผู้นำประเทศคอมมิวนิสต์ซึ่งมีประชากรมากที่สุดในโลกกว่า 1,300 ล้านคน ทั้งยังจะเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลกแทนที่สหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในสภาวะถดถอยทั้งด้านอิทธิพลการเมือง การค้า

ยิ่งในเอเชียด้วยแล้ว อิทธิพลของสหรัฐฯ เริ่มหดหายไป ขณะที่จีนได้ขยายอำนาจเข้ามาแทนที่ เป็นผู้นำด้านการค้า การลงทุน และการพัฒนา ปัญหาการเมืองในสหรัฐฯ ปัจจุบันทำให้ชาติมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลกติดอยู่ในกับดักของผู้นำถูกปัญหารุมเร้า

โดยเฉพาะประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะรอดสันดอนไปได้นานสักเท่าไหร่ ไม่มีใครรับประกันเพราะตัวเองและเครือข่ายบริวาร มิตรสหายต่างถูกสอบสวนโดยตำรวจเอฟบีไอเนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มชาวรัสเซียด้านการเงิน ธุรกิจและการเมือง

การที่สี จิ้นผิง กระชับอำนาจและทอดยาวโดยไม่มีกำหนด ก็เผชิญความเสี่ยงจากกลุ่มคู่แข่งและศัตรูทางการเมือง โดยเฉพาะ “กลุ่มเซี่ยงไฮ้” ซึ่งเป็นพวกของอดีตผู้นำเจียง เจ๋อหมินที่ถูกมองว่าเครือข่ายถูกลิดรอนอำนาจและอิทธิพลภายใต้การปราบการทุจริต

นั่นหมายความว่าการที่ สี จิ้นผิง จะปักหลักหยั่งรากลงลึก เท่ากับตัดความหวังของกลุ่มการเมืองอื่นๆ ที่จ้องจะก้าวเข้าสู่อำนาจด้วยการแข่งขันอย่างเปิดเผยทันทีที่ผู้นำ สี จิ้นผิง สิ้นสุดการเป็นประธานาธิบดี 10 ปี หรือ 2 สมัย ถ้าไม่มีการแก้ไขธรรมนูญพรรค

เมื่อไม่มีการจำกัดเวลาการครองอำนาจ เท่ากับว่า สี จิ้นผิง จะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดแต่ผู้เดียว การจะรักษาอำนาจแบบนี้อาจต้องยกระดับความเป็นเผด็จการ หรือถึงขั้นทรราชและใช้กฎเหล็กจัดการใครก็ตามที่จะท้าทายความเป็นผู้นำและอำนาจสูงสุด

เท่ากับว่ากลุ่มศัตรู หรือคู่แข่งทางการเมืองย่อมมองเห็นภัยที่จะมาสู่พวกตัวเองเมื่อ สี จิ้นผิง ต้องการอยู่ยาว ดังนั้นจะต้องกำจัดบรรดาเสี้ยนหนามหรือใครก็ตามที่อาจจะเป็นคู่แข่ง ดังนั้นฝ่ายตรงข้ามย่อมต้องมีแผนปกป้องตัวเองและหาทางตอบโต้

ในกลุ่มอดีตผู้นำประเทศ 2 คณะก่อน สี จิ้นผิง ได้เป็นใหญ่ย่อมไม่พอใจเช่นกัน เพราะการกำหนดเทอมเพียง 2 สมัย หรือ 10 ปี เท่ากับเป็นการรับประกันการเปลี่ยนผ่านอำนาจ ทำให้การเมืองประเทศจีนไร้ข้อขัดแย้งอย่างรุนแรงในตลอดระยะเวลา 35 ปี

เท่ากับว่าความราบรื่นในการเปลี่ยนผ่านทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมือง ไม่มีข้อขัดแย้งเหมือนการต่อสู้อย่างรุนแรงในยุคของ “แก๊ง 4 คน” นำโดยนางเจียง ชิงซึ่งเป็นภริยาของประธานเหมา นำไปสู่การกวาดล้างทางการเมืองในยุคที่ เติ้ง เสี่ยวผิงเป็นใหญ่

นักวิเคราะห์จากชาติตะวันตกมองว่าการอยากเป็นผู้นำสูงสุด โดยไม่มีวาระสิ้นสุดของ สี จิ้นผิง อาจสะท้อนให้เห็น “ความอ่อนแอ” และความกังวลต่อการจะสิ้นอำนาจ ถ้าอยู่ได้เพียง 2 สมัย เพราะอาจถูกกลุ่มศัตรู “เอาคืน” จากนโยบายปราบปรามการทุจริต

จะเห็นได้ว่า สี จิ้นผิง พยายามยกระดับสถานภาพของตัวเอง ก่อนหน้านี้ได้บรรจุแนวคิด หลักการของตนเองไว้ในธรรมนูญของพรรค ดังเช่นประธานเหมา เจ๋อตุง และอดีตผู้นำสูงสุด เติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งดำรงสถานภาพนั้นโดยไม่มีตำแหน่งอะไรเป็นทางการ

งานนิทรรศการความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของจีนเมื่อเดือนธันวาคมในกรุงปักกิ่งจะเห็นได้ว่าในทุกห้องการแสดง มีภาพการเป็นผู้นำของ สี จิ้นผิง ในอิริยาบถต่างๆ ในการพบปะกับประชาชน สะท้อนให้เห็นว่าตนเองได้รับความนิยมและความ “ยำเกรง”

ที่เห็นได้ชัดคือการสะท้อนให้เห็นความเป็นผู้นำชาติจีนในยุคดิจิตอล และจีนมีเทคโนโลยีซึ่งทัดเทียมกับโลกตะวันตกในการผลิตยุทโธปกรณ์และอุตสาหกรรมทันสมัย และสี จิ้นผิง ประกาศให้เห็นชัดเจนว่าความสำเร็จเหล่านั้นเป็นยุคที่ตัวเองเป็นผู้นำชาติ

ที่ชัดเจนคือการที่ สี จิ้นผิง ไม่ได้ประกาศว่าใครจะเป็น “ทายาท” หรือใครจะเป็นผู้นำรุ่นต่อไปเหมือนในยุคก่อนที่ตนเองจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำต่อจาก หู จิ่นเทา นั่นคือการสร้างความเอะใจ สงสัย โดยกลุ่มการเมืองในพรรค ที่ยังหวังจะเป็นผู้กุมอำนาจรุ่นต่อไป

การเป็นผู้นำสูงสุดยังมีความเสี่ยงสำคัญ นั่นคือต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ในกรณีที่เกิดปัญหาความผิดพลาดด้านนโยบายการเมืองระหว่างประเทศ หรือสภาวะพลิกผันด้านเศรษฐกิจ จนทำให้ประเทศขาดเสถียรภาพ ผลพวงที่ตามมาย่อมรุนแรงเช่นกัน

แม้จะเป็นการเมืองระบบพรรคเดียว ไม่ใช่ประชาธิปไตยก็ตาม โครงสร้างภายในพรรคคอมมิวนิสต์ก็มีระบบตรวจสอบถ่วงดุลกันเองระหว่างกลุ่มหัวก้าวหน้าและกลุ่มอนุรักษ์ ดังนั้นการกระชับอำนาจของ สี จิ้นผิง เป็นเหมือนการไต่เส้นลวดการเมืองนั่นเอง

สี จิ้นผิงยิ่งอยู่สูง ยิ่งหนาว โดดเดี่ยว ถ้าก้าวพลาด โดนรุมขย้ำ ไม่มีโอกาสแก้ตัว!


กำลังโหลดความคิดเห็น