ผู้จัดการรายวัน360-บุตรชายรับศพ "พล.ต.อ.สล้าง" ที่สถาบันนิติเวชวิทยา กลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดเทพศิรินทร์ ยันพ่อไม่ได้ป่วยซึมเศร้า และไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต แต่รับอาจจะเครียดจากการคัดค้านรถไฟรางคู่ขนาด 1 เมตร และรถไฟฟ้าต่างระดับ ด้านเพจโลจิสติกส์ อธิบายอีกมุม หวั่นสังคมตีความจดหมายสั่งเสียผิด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (26 ก.พ.) ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ นายวันจักร บุนนาค และพ.ต.ท.เหมจักร บุนนาค บุตรชายของ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อายุ 81 ปี อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ เดินทางมาเพื่อมารับศพบิดา พร้อมให้ข้อมูลว่าจะนำศพบิดากลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดเทพศิรินทร์ ศาลากลางน้ำ และจะสวดพระอภิธรรม จนถึงวันที่ 5 มี.ค.2561 เว้นวันที่ 1 มี.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันมาฆะบูชา และจะเก็บศพไว้ 100 วัน
นายวันจักรกล่าวว่า บิดาของตนเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจมา 2-3 ปีแล้ว แต่ยืนยันว่าไม่ได้มีอาการป่วยถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า คิดว่าเป็นโรคคนแก่มากกว่า ปกติบิดาจะมีคนดูแลอยู่ตลอด แต่วันเกิดเหตุคนที่ดูแลบิดาไปทำธุระ และบิดาออกไปเดินห้างสรรพสินค้าเพียงลำพัง ครอบครัวมาทราบช่วงเวลาประมาณ 12.00 น. วันที่ 25 ก.พ. ว่าบิดาเสียชีวิตแล้ว ส่วนตัวไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต รวมถึงกรณีที่ทางพนักงานห้างสรรพสินค้ารีบเคลื่อนย้ายศพบิดาออกจากที่เกิดเหตุด้วย
“เรื่องระบบขนส่งมวลชน เป็นเจตนารมณ์ที่คุณพ่อมีความตั้งใจและทุ่มเทมาตลอดชีวิต โดยมองว่าพื้นฐานที่ดีจะส่งผลให้ประเทศชาติ ลูกหลานได้สบาย แต่ถ้าทำอะไรที่ผิดตั้งแต่ต้นก็จะผิดตลอดไป เรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องที่คุณพ่อต้องการจะสื่อสารออกไป ท่านทุ่มเทเรื่องนี้มาตั้งแต่รับราชการและหลังเกษียณอายุราชการ มากว่า 20 ปี เพราะขณะที่คุณพ่อรับราชการมีโอกาสได้รับผิดชอบงานด้านจราจร และศึกษาดูงานมาตลอด รวมทั้งคัดค้านรถไฟรางคู่ขนาน 1 เมตร และรถไฟฟ้าต่างระดับ เพราะเป็นสิ่งที่ประเทศชาติไม่ควรได้รับ ประเทศควรได้ใช้ของที่ดี มีระบบที่ดี” นายวันจักรกล่าว
ด้าน พ.ต.ท.เหมจักรกล่าวว่า ในเรื่องของผลชันสูตรทางครอบครัวขออนุญาตไม่เปิดเผย ซึ่งไม่ได้ติดใจสาเหตุการเสียชีวิตแต่อย่างใด สำหรับเอกสารที่เป็นคำสั่งเสียของบิดา ขอเวลา 2 วันในการรวบรวมเอกสาร และจะแจกให้สื่อมวลชนที่วัดเทพศิรินทราวาส เพื่อเผยแพร่ ตามประสงค์ที่ระบุไว้ในจดหมาย
ส่วนกรณีที่บิดาเขียนระบุเรื่องการคัดค้านการสร้างรางรางรถไฟขนาด 1.000 เมตร และเกี่ยวกับระบบการขนส่งมวลชนนั้น บิดาได้เดินหน้าคัดค้านมากว่า 40 ปี และเมื่อมีอายุมากขึ้น ก็มักจะมีโรคประจำตัว ความเครียดและซึมเศร้าเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
วันเดียวกันนี้ เพจเฟซบุ๊ก Logistics & Deveropment Thailand Forum ได้โพสต์อธิบายเกี่ยวกับเนื้อหาในจดหมายสั่งเสียของพล.ต.อ.สล้าง เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด โดยมีเนื้อหาโดยสรุปว่า ราง 1 เมตร ทำให้ไทยเชื่อมต่อกับเพื่อนบ้านได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นราง 1.435 เมตร จะทำให้ไม่สามารถเชื่อมต่อและขนส่งผู้โดยสารได้ ส่วนราง 1.435 เมตร รัฐบาลได้มีการพัฒนาอยู่แล้ว เพื่อรองรับรถไฟความเร็วสูง (250 กม.ต่อชม.) ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับราง 1 เมตรเดิม เพราะสามารถพัฒนาราง 1 เมตรได้ และใช้ราง 1.435 เมตร ในการสร้างรถไฟความเร็วสูงได้ ส่วนการคัดค้านรถไฟฟ้ายกระดับ หากลงดิน มีราคาสูงกว่าลอยฟ้า 3 เท่า และการสร้างใต้ดินในเขตเมือง และยกระดับชานเมือง ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อย่าเข้าใจผิด เพราะหากล่าช้า จะทำให้การจราจรในกรุงเทพฯ วิกฤต ขณะที่การสร้างถนนออโตบาห์น หรือซูเปอร์ไฮเวย์ เห็นว่าเกินความจำเป็นสำหรับประเทศไทย เพราะรถยนต์บนถนนของไทยส่วนใหญ่เป็นรถกะบะ และ SUV การมีถนนที่วิ่งได้เร็วสูง จึงเกินความจำเป็น ก่อนสรุปว่า จดหมายของท่านทำให้เราได้ทราบว่า ท่านมีอุดมการณ์ในการพัฒนาระบบขนส่งและโลจิสติกส์ของไทย แต่แนวคิดหลายๆ เรื่องของท่าน ก็อาจนำความเข้าใจผิดด้านระบบขนส่งหลายๆ เรื่อง ไปสู่คนไทยเช่นกัน และหวังว่า ในอนาคตถึงแม้แนวทางการพัฒนาอาจจะไม่ตรงกับที่ท่านหวังไว้ แต่ทุกโครงการ จะนำไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนของคนไทยแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (26 ก.พ.) ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ นายวันจักร บุนนาค และพ.ต.ท.เหมจักร บุนนาค บุตรชายของ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อายุ 81 ปี อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ เดินทางมาเพื่อมารับศพบิดา พร้อมให้ข้อมูลว่าจะนำศพบิดากลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดเทพศิรินทร์ ศาลากลางน้ำ และจะสวดพระอภิธรรม จนถึงวันที่ 5 มี.ค.2561 เว้นวันที่ 1 มี.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันมาฆะบูชา และจะเก็บศพไว้ 100 วัน
นายวันจักรกล่าวว่า บิดาของตนเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจมา 2-3 ปีแล้ว แต่ยืนยันว่าไม่ได้มีอาการป่วยถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า คิดว่าเป็นโรคคนแก่มากกว่า ปกติบิดาจะมีคนดูแลอยู่ตลอด แต่วันเกิดเหตุคนที่ดูแลบิดาไปทำธุระ และบิดาออกไปเดินห้างสรรพสินค้าเพียงลำพัง ครอบครัวมาทราบช่วงเวลาประมาณ 12.00 น. วันที่ 25 ก.พ. ว่าบิดาเสียชีวิตแล้ว ส่วนตัวไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต รวมถึงกรณีที่ทางพนักงานห้างสรรพสินค้ารีบเคลื่อนย้ายศพบิดาออกจากที่เกิดเหตุด้วย
“เรื่องระบบขนส่งมวลชน เป็นเจตนารมณ์ที่คุณพ่อมีความตั้งใจและทุ่มเทมาตลอดชีวิต โดยมองว่าพื้นฐานที่ดีจะส่งผลให้ประเทศชาติ ลูกหลานได้สบาย แต่ถ้าทำอะไรที่ผิดตั้งแต่ต้นก็จะผิดตลอดไป เรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องที่คุณพ่อต้องการจะสื่อสารออกไป ท่านทุ่มเทเรื่องนี้มาตั้งแต่รับราชการและหลังเกษียณอายุราชการ มากว่า 20 ปี เพราะขณะที่คุณพ่อรับราชการมีโอกาสได้รับผิดชอบงานด้านจราจร และศึกษาดูงานมาตลอด รวมทั้งคัดค้านรถไฟรางคู่ขนาน 1 เมตร และรถไฟฟ้าต่างระดับ เพราะเป็นสิ่งที่ประเทศชาติไม่ควรได้รับ ประเทศควรได้ใช้ของที่ดี มีระบบที่ดี” นายวันจักรกล่าว
ด้าน พ.ต.ท.เหมจักรกล่าวว่า ในเรื่องของผลชันสูตรทางครอบครัวขออนุญาตไม่เปิดเผย ซึ่งไม่ได้ติดใจสาเหตุการเสียชีวิตแต่อย่างใด สำหรับเอกสารที่เป็นคำสั่งเสียของบิดา ขอเวลา 2 วันในการรวบรวมเอกสาร และจะแจกให้สื่อมวลชนที่วัดเทพศิรินทราวาส เพื่อเผยแพร่ ตามประสงค์ที่ระบุไว้ในจดหมาย
ส่วนกรณีที่บิดาเขียนระบุเรื่องการคัดค้านการสร้างรางรางรถไฟขนาด 1.000 เมตร และเกี่ยวกับระบบการขนส่งมวลชนนั้น บิดาได้เดินหน้าคัดค้านมากว่า 40 ปี และเมื่อมีอายุมากขึ้น ก็มักจะมีโรคประจำตัว ความเครียดและซึมเศร้าเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
วันเดียวกันนี้ เพจเฟซบุ๊ก Logistics & Deveropment Thailand Forum ได้โพสต์อธิบายเกี่ยวกับเนื้อหาในจดหมายสั่งเสียของพล.ต.อ.สล้าง เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด โดยมีเนื้อหาโดยสรุปว่า ราง 1 เมตร ทำให้ไทยเชื่อมต่อกับเพื่อนบ้านได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นราง 1.435 เมตร จะทำให้ไม่สามารถเชื่อมต่อและขนส่งผู้โดยสารได้ ส่วนราง 1.435 เมตร รัฐบาลได้มีการพัฒนาอยู่แล้ว เพื่อรองรับรถไฟความเร็วสูง (250 กม.ต่อชม.) ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับราง 1 เมตรเดิม เพราะสามารถพัฒนาราง 1 เมตรได้ และใช้ราง 1.435 เมตร ในการสร้างรถไฟความเร็วสูงได้ ส่วนการคัดค้านรถไฟฟ้ายกระดับ หากลงดิน มีราคาสูงกว่าลอยฟ้า 3 เท่า และการสร้างใต้ดินในเขตเมือง และยกระดับชานเมือง ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อย่าเข้าใจผิด เพราะหากล่าช้า จะทำให้การจราจรในกรุงเทพฯ วิกฤต ขณะที่การสร้างถนนออโตบาห์น หรือซูเปอร์ไฮเวย์ เห็นว่าเกินความจำเป็นสำหรับประเทศไทย เพราะรถยนต์บนถนนของไทยส่วนใหญ่เป็นรถกะบะ และ SUV การมีถนนที่วิ่งได้เร็วสูง จึงเกินความจำเป็น ก่อนสรุปว่า จดหมายของท่านทำให้เราได้ทราบว่า ท่านมีอุดมการณ์ในการพัฒนาระบบขนส่งและโลจิสติกส์ของไทย แต่แนวคิดหลายๆ เรื่องของท่าน ก็อาจนำความเข้าใจผิดด้านระบบขนส่งหลายๆ เรื่อง ไปสู่คนไทยเช่นกัน และหวังว่า ในอนาคตถึงแม้แนวทางการพัฒนาอาจจะไม่ตรงกับที่ท่านหวังไว้ แต่ทุกโครงการ จะนำไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนของคนไทยแน่นอน