“บิ๊กอ๊อด” ยังมั่นใจได้รับความเป็นธรรม หลัง "ดีเอสไอ" สอบ 3 ชั่วโมง ปมยืม 300 ล้านจาก "เสี่ยกำพล วิคตอเรียซีเครท” พร้อมให้ความร่วมมือกับทุกหน่วย ปัดตอบไม่แจงบัญชียืมเงินกับ ป.ป.ช. "วิษณุ" โยน ป.ป.ช.-กกต.ตรวจสอบ 'หมอธี' ถือหุ้นรัฐ "มีชัย" ป้อง "หมอธี" ยกคำวินิจฉัยศาล ชี้ถือหุ้นก่อนรับตำแหน่งการเมืองไม่ผิด
วานนี้ (15 ก.พ.) ที่ กองคดีการค้ามนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ภายในอาคารศูนย์ฝึกอบรม บริษัทไปรษณีย์ไทย ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ พร้อมทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สุภัทธ์ ธรรมธนารักษ์ ผอ.กองคดีการค้ามนุษย์ ดีเอสไอ เกี่ยวกับประเด็นเรื่องยืมเงิน 300 ล้านบาทจาก ของนายกำพล วิระเทพสุภรณ์ เจ้าของกิจการอาบอบนวดวิคตอเรีย ซีเครท ผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ ว่าเชื่อมโยงกับคดีค้ามนุษย์หรือไม่
โดยภายหลังจากเข้าให้ข้อมูลร่วม 3 ชั่วโมง พล.ต.อ.สมยศ เปิดเผยว่า วันนี้เดินทางมาให้ปากคำในฐานะพยาน ซึ่งทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบแล้ว จึงไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด เนื่องจากเป็นเรื่องที่อยู่ในสำนวน และยินดีจะให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงาน ในการให้ข้อมูล หลักฐานต่างๆ โดยเชื่อว่าทุกหน่วยรัฐทุกองค์กร มีความเป็นเป็นมืออาชีพ และให้ความเป็นธรรม ยุติธรรมกับทุกฝ่ายได้
เมื่อถูกถามถึงกรณีที่เงินยืมจำนวน 300 ล้านบาท ไม่ปรากฎในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อปี 2557 ปรากฎว่า พล.ต.อ.สมยศ เลี่ยงที่จะตอบคำถาม และเดินฝ่าสื่อมวลชนไปขึ้นรถกลับทันที
ด้าน พ.ต.ท.สุภัทร์ เปิดเผยว่า รายละเอียดในการเข้าให้ปากคำของพยานถือเป็นรายละเอียดในสำนวนคดีไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยการสอบปากคำพยาน พล.ต.อ.สมยศนั้น. ตนได้มอบให้คณะพนักงานสอบสวนชุดที่ตรวจสอบเส้นทางการเงินเป็นผู้ซักถามข้อมูล และก่อนเรียกพยานเข้าให้การพนักงานสอบสวนได้กำหนดประเด็นคำถามไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว เชื่อว่าจะเป็นการซักถามไปในแต่ละประเด็น ส่วนจะเป็นการให้การด้วยวาจา หรือยื่นเอกสารประกอบคำให้การ ตนไม่ทราบเพราะไม่ได้ร่วมรับฟัง แต่เห็นว่า พล.ต.อ.สมยศได้ถือเอกสารมาด้วย ส่วนจะสรุปสำนวนได้เมื่อใดนั้น ก็ยังตอบไม่ได้ คาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะต้องเรียกพล.ต.อ.สมยศมาให้การอีกหรือไม่ พ.ต.ท.สุภัทร์ กล่าวว่า ดีเอสไอจะพิจารณาตามความจำเป็น สำหรับบุคคลอื่นๆ ที่มีธุรกรรมการเงินเข้าไปเกี่ยวข้องกับนายกำพลยังอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน หลังจากนี้จะทยอยเรียกเข้ามาให้การ
ขณะที่ พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สมยศให้ความร่วมมือเข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อให้ข้อมูลตามวันเวลาที่ดีเอสไอนัดไว้ หลังจากนี้จะขอส่งเอกสารประกอบการพิจารณาเพิ่มเติม
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการสอบปากคำ พล.ต.อ.สมยศให้การประกอบเอกสารทางการเงินที่เคยทำร่วมกับนายกำพลตั้งแต่ปี 2557 โดยเป็นการตอบข้อซักถามในทุกประเด็นเกี่ยวกับการทำธุรกรรมการเงินต่างๆ โดยหลังจากนี้ พล.ต.อ.สมยศจะกลับไปรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอเพิ่มเติม
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา เตรียมยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบคุณสมบัติกรณีการถือหุ้นสัมปทานรัฐหรือไม่ของ น.พ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ว่า ตนไม่ทราบเป็นเรื่องที่ กกต.จะเป็นผู้พิจารณาเอง
เมื่อถามว่า หากมีการยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบการถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ของรัฐมนตรีจะสามารถทำได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ที่มีการร้องให้ตรวจสอบการถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ของรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ไปแล้ว โดยส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.และ กกต.พิจารณา ซึ่ง ป.ป.ช.ได้ส่งหนังสือมาถามรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และแจ้งมาที่นายกฯ ให้ตรวจสอบ ส่วนความคืบหน้าเป็นอย่างไรไม่ทราบ อย่างไรก็ตามต้องแยกให้ออกระหว่างการถือหุ้นสัมปทานของรัฐ กับการถือหุ้นในบริษัทเอกชนเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน
ด้าน นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ไม่ได้ยกเว้นไว้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ว่า การถือหุ้นก่อนที่เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่อยู่ในข่ายต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น กรณีนี้ตนไม่รู้ข้อเท็จเป็นอย่างไร ถ้าเป็นหุ้นที่มีอยู่เก่าก่อนรับตำแหน่งได้ แต่ถ้าได้มาใหม่ในระหว่างดำรงตำแหน่ง ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า ไม่ได้.
วานนี้ (15 ก.พ.) ที่ กองคดีการค้ามนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ภายในอาคารศูนย์ฝึกอบรม บริษัทไปรษณีย์ไทย ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ พร้อมทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สุภัทธ์ ธรรมธนารักษ์ ผอ.กองคดีการค้ามนุษย์ ดีเอสไอ เกี่ยวกับประเด็นเรื่องยืมเงิน 300 ล้านบาทจาก ของนายกำพล วิระเทพสุภรณ์ เจ้าของกิจการอาบอบนวดวิคตอเรีย ซีเครท ผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ ว่าเชื่อมโยงกับคดีค้ามนุษย์หรือไม่
โดยภายหลังจากเข้าให้ข้อมูลร่วม 3 ชั่วโมง พล.ต.อ.สมยศ เปิดเผยว่า วันนี้เดินทางมาให้ปากคำในฐานะพยาน ซึ่งทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบแล้ว จึงไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด เนื่องจากเป็นเรื่องที่อยู่ในสำนวน และยินดีจะให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงาน ในการให้ข้อมูล หลักฐานต่างๆ โดยเชื่อว่าทุกหน่วยรัฐทุกองค์กร มีความเป็นเป็นมืออาชีพ และให้ความเป็นธรรม ยุติธรรมกับทุกฝ่ายได้
เมื่อถูกถามถึงกรณีที่เงินยืมจำนวน 300 ล้านบาท ไม่ปรากฎในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อปี 2557 ปรากฎว่า พล.ต.อ.สมยศ เลี่ยงที่จะตอบคำถาม และเดินฝ่าสื่อมวลชนไปขึ้นรถกลับทันที
ด้าน พ.ต.ท.สุภัทร์ เปิดเผยว่า รายละเอียดในการเข้าให้ปากคำของพยานถือเป็นรายละเอียดในสำนวนคดีไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยการสอบปากคำพยาน พล.ต.อ.สมยศนั้น. ตนได้มอบให้คณะพนักงานสอบสวนชุดที่ตรวจสอบเส้นทางการเงินเป็นผู้ซักถามข้อมูล และก่อนเรียกพยานเข้าให้การพนักงานสอบสวนได้กำหนดประเด็นคำถามไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว เชื่อว่าจะเป็นการซักถามไปในแต่ละประเด็น ส่วนจะเป็นการให้การด้วยวาจา หรือยื่นเอกสารประกอบคำให้การ ตนไม่ทราบเพราะไม่ได้ร่วมรับฟัง แต่เห็นว่า พล.ต.อ.สมยศได้ถือเอกสารมาด้วย ส่วนจะสรุปสำนวนได้เมื่อใดนั้น ก็ยังตอบไม่ได้ คาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะต้องเรียกพล.ต.อ.สมยศมาให้การอีกหรือไม่ พ.ต.ท.สุภัทร์ กล่าวว่า ดีเอสไอจะพิจารณาตามความจำเป็น สำหรับบุคคลอื่นๆ ที่มีธุรกรรมการเงินเข้าไปเกี่ยวข้องกับนายกำพลยังอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน หลังจากนี้จะทยอยเรียกเข้ามาให้การ
ขณะที่ พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สมยศให้ความร่วมมือเข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อให้ข้อมูลตามวันเวลาที่ดีเอสไอนัดไว้ หลังจากนี้จะขอส่งเอกสารประกอบการพิจารณาเพิ่มเติม
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการสอบปากคำ พล.ต.อ.สมยศให้การประกอบเอกสารทางการเงินที่เคยทำร่วมกับนายกำพลตั้งแต่ปี 2557 โดยเป็นการตอบข้อซักถามในทุกประเด็นเกี่ยวกับการทำธุรกรรมการเงินต่างๆ โดยหลังจากนี้ พล.ต.อ.สมยศจะกลับไปรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอเพิ่มเติม
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา เตรียมยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบคุณสมบัติกรณีการถือหุ้นสัมปทานรัฐหรือไม่ของ น.พ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ว่า ตนไม่ทราบเป็นเรื่องที่ กกต.จะเป็นผู้พิจารณาเอง
เมื่อถามว่า หากมีการยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบการถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ของรัฐมนตรีจะสามารถทำได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ที่มีการร้องให้ตรวจสอบการถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ของรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ไปแล้ว โดยส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.และ กกต.พิจารณา ซึ่ง ป.ป.ช.ได้ส่งหนังสือมาถามรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และแจ้งมาที่นายกฯ ให้ตรวจสอบ ส่วนความคืบหน้าเป็นอย่างไรไม่ทราบ อย่างไรก็ตามต้องแยกให้ออกระหว่างการถือหุ้นสัมปทานของรัฐ กับการถือหุ้นในบริษัทเอกชนเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน
ด้าน นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ไม่ได้ยกเว้นไว้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ว่า การถือหุ้นก่อนที่เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่อยู่ในข่ายต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น กรณีนี้ตนไม่รู้ข้อเท็จเป็นอย่างไร ถ้าเป็นหุ้นที่มีอยู่เก่าก่อนรับตำแหน่งได้ แต่ถ้าได้มาใหม่ในระหว่างดำรงตำแหน่ง ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า ไม่ได้.