ว่ากันว่า...ภายในอินตะระเดียช่วงนี้ เกิดอาการเสียงแตกเป็นชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย ระหว่างฝ่ายบุก-ไม่บุกสำหรับการตัดสินใจส่งทหารอินเดียเข้าไปแทรกแซงการเมืองในเกาะมัลดีฟส์ ตามคำร้องขอโดยอดีตประธานาธิบดี “โมฮาเหม็ด นาชีด” ผู้นิยมอินเดีย คู่แข่งทางการเมืองของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน “นายอับดุลเลาะห์ ยามีน” ผู้นิยมจีน...
ฝ่ายที่ “อยากให้บุก” อย่างเช่น “Manvendra Singh” นักกฎหมายแห่งพรรคภารติยะชนตะ และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง ถึงกับสรุปเอาไว้ประมาณว่า “วิกฤตการเมืองในมัลดีฟส์” คือ “โอกาสของอินเดีย” เอาเลยถึงขั้นนั้น ชนิด “เลี่ยงไม่ได้” ที่จะต้องตัดสินใจส่งทหารเข้าไปแทรกแซงเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา โดยพยายามเพิ่มน้ำหนักความเชื่อไว้ด้วยว่า การตัดสินใจแทรกแซงมัลดีฟส์ด้วยกำลังทหารอินเดียนั้น ย่อมต้องได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจอเมริกา รวมทั้งอังกฤษอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะไม่เพียงแต่ประเทศเหล่านี้อยากเห็นผู้ที่นิยมจีนอย่างประธานาธิบดี “ยามีน” หมดอำนาจลงไปเท่านั้นความต้องการที่อยากจะเห็นอินเดีย เป็นตัวถ่วงรั้งบทบาทของจีนในภูมิภาคนี้ ถึงขั้นที่รัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ยังถึงกับให้เปลี่ยนคำเรียกขานพื้นที่ “เอเชีย-แปซิฟิก” ไปเป็นคำว่า “อินเดีย-แปซิฟิก” กันแทนที่ ย่อมถือเป็นข้อพิสูจน์ชัดเจนว่าอินเดียย่อมไม่มีวันที่จะโดดเดี่ยวจากการตัดสินใจเช่นนี้อยู่แล้วแน่ๆ...
แต่สำหรับฝ่ายที่ “ไม่อยากให้บุก” ก็ให้เหตุผลที่มีน้ำหนักอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เช่น การชี้ให้เห็นว่า...การส่งทหารอินเดียเข้าไปยังมัลดีฟส์เมื่อปี ค.ศ. 1988 นั้น เนื่องจากผู้ที่เรียกร้อง ขอร้อง คือผู้ที่มีฐานะเป็นประธานาธิบดีตามกฎหมาย แต่สำหรับคราวนี้ผู้ที่เรียกร้อง ขอร้อง เป็นแค่หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน หรือฝ่ายตรงข้ามกับประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้ง อีกทั้งการส่งทหารอินเดียบุกเข้าไปในมัลดีฟส์เมื่อ 30 ปีที่แล้วนั้น แค่เข้าไปเจอกับพวกกบฏกลุ่มเล็กๆ แถมเป็นแค่ประเภททหารรับจ้างด้วยซ้ำ แต่ถ้าคิดจะส่งทหารอินเดียไปยังมัลดีฟส์คราวนี้ คงต้องเริ่มจากการไปอ่านสื่อทางการของจีน อย่างหนังสือพิมพ์ “Global Times” ที่ได้ออกมาส่งสัญญาณชัดเจนไว้ในข้อเขียนบทความเรื่อง “China will ‘take action’ if India sends troops to crisis-hit Maldives” ที่หมายถึง...ยังไงๆ คงหนีไม่พ้นต้องเจอกับ “ทหารจีน” ระดับอาจขนกันมาเป็นกองทัพๆ รออยู่แล้วแน่ๆ...
แถม “Global Times” ยังอธิบายรายละเอียดไว้ในเนื้อหาด้วยว่า... “ถ้าหากปราศจากการสนับสนุนของสหประชาชาติ ก็เท่ากับปราศจากความชอบธรรมใดๆ ในอันที่จะใช้กำลังเข้าแทรกแซงกิจการภายในของผู้อื่น” และ “จีนจะไม่แทรกแซงกิจการภายในของมัลดีฟส์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าปักกิ่งจะนั่งบิดขี้เกียจอยู่เฉยๆ ถ้าหากเดลฮีพยายามละเมิดหลักการใดๆ ก็ตาม หรือถ้าอินเดียคิดจะส่งกำลังทหารเข้าไปยังมัลดีฟส์ จีนก็คงต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อหยุดยั้งสิ่งเหล่านี้เอาไว้ ซึ่งอินเดียไม่ควรประเมินท่าทีของจีนต่ำกว่าความเป็นจริง ด้วยการคิดจะส่งทหารเข้าไปแทรกแซงมัลดีฟส์...” นี่...ต้องเรียกว่าฟังแล้ว ไม่ว่าจะชาวจีน ชาวอินเดีย ชาวมัลดีฟส์ หรือชาวอะไรก็แล้วแต่ ที่เคยอยู่กันอย่างสุข สงบ สันติภาพ ภายใต้ร่มเงาของมหาอำนาจร่วมภูมิภาคอย่างอินเดียและจีนมาโดยตลอดประวัติศาสตร์ น่าจะรู้สึกไม่สบายกาย สบายใจซักเท่าไหร่...
คือการตีกันระหว่างอินเดียกับจีน...ที่ต่างก็เป็นอู่อารยธรรม ต่างมีสายใยผูกพันทางด้านความคิด ความรู้สึกกับประเทศต่างๆ ในย่านนี้ ชนิดแทบไม่ต่างไปจากพ่อและแม่ในทางวัฒนธรรม ทางอารยธรรม ไม่เพียงเป็นอะไรที่น่าสลดหดหู่ น่าเศร้า น่าอเนจอนาถเวทนามิใช่น้อย ยังออกจะเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่าทุเรศเอามากๆ อีกซะล่วย เพราะถือเป็นการเข้าทางเท้า เข้าทางตีนของมหาอำนาจอดีตนักล่าอาณานิคมจากซีกโลกตะวันตกแบบเน้นๆ เนื้อๆ คือถ้าหากประเทศที่อยู่ร่วมภูมิภาคเดียวกัน ประเทศบ้านเรือนเคียงกัน หัดรู้จักรู้-รัก-สามัคคี ไม่คิดทะเลาะกันง่ายๆ โอกาสที่นักล่าอาณานิคมตะวันตกจะเขมือบประเทศแต่ละประเทศ จนต้องตกเป็นอาณานิคมไปแทบทั่วทั้งทวีปอย่างครั้งอดีตที่ผ่านมา มันคงไม่ถึงกับง่าย ไม่ถึงกับสะดวกสบายมากมายซักเท่าไหร่นัก...
และแม้แต่ ณ ขณะปัจจุบันก็ตามที...แค่เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ เริ่มหันมาพูดจาประสาพี่ๆ-น้องๆ เท่านั้น เล่นเอาคุณพ่ออเมริกาต้องควานหา “มุกใหม่ๆ” กันอุตลุด เพื่อที่จะทำให้ความขัดแย้งทั้งหลาย ยังคงดำเนินต่อไป และหนึ่งในนั้น...หนีไม่พ้นไปจากความหวัง ความต้องการ ที่จะหาทางทำให้อินเดียตีกะจีนให้จงได้ ถึงขั้นตระเตรียมส่งนาวิกโยธินนับพันๆ วางประชิดติดพรมแดนจีน ส่วนจะเป็นพรมแดนทางบก หรือทางทะเลยังไม่ถึงกับชัดเจนนัก ขณะที่พันธมิตรอย่างอังกฤษประกาศว่าเตรียมส่งเรือฟริเกตต่อต้านเรือดำน้ำ เข้ามาร่วมปลุกพลังยั่วยุให้กับประเทศต่างๆ ที่ขัดแย้งกับจีนในทะเลจีนใต้ ในอีกไม่นาน-ไม่ช้านับจากนี้...
แต่ก็นั่นแหละ...ความไม่รู้-ไม่รัก-ไม่สามัคคี มันอาจเป็นเรื่องของวาสนา สันดานอันมิอาจแก้ไขได้ง่ายๆ ขนาดผู้ที่สุขสบายภายใต้สภาพแวดล้อมปานประดุจเกาะสวาท-หาดสวรรค์ อย่างชาวมัลดีฟส์ทั้งหลาย ยังหนีไม่พ้นต้องหันมา “กัดกันเอง” แถมยังพยายามลากเอาโลกไปล้อมประเทศตัวเอง แทรกแซงประเทศตัวเอง จนส่งผลให้คุณพี่จีนกับคุณน้าอินตะระเดีย ที่ฮึ่มๆ กันมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว กรณีความขัดแย้งบริเวณพรมแดนด้านเทือกเขาหิมาลัย แถบที่ราบสูง Doklam เลยทำท่าว่าอาจต้องหันมาใส่กันและกันอีกหรือไม่ อย่างไร อันนี้...คงต้องปล่อยให้พระนาร๊ายณ์ นารายณ์ เคลียร์กับเง็กเซียนฮ่องเต้ เอาเองก็แล้วกัน...