xs
xsm
sm
md
lg

อัดงบลงทุนEECถึงปี66-ตั้งมหานครผลไม้โลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน 360- ครม.อนุมัติโครงการจัดตั้งระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก พร้อมเห็นชอบ 4 ยุทธศาสตร์การค้าผลไม้ครบวงจรตามที่พาณิชย์เสนอ "สนธิรัตน์" ดึง 4 หน่วยงานเซ็นMOU ดันไทยเป็นมหานครผลไม้ของโลก โฆษกรัฐบาล เผยรองนายกฯ เชื่อนักลงทุนไหลเข้าภาคตะวันออก- ครม.อนุมัติแผนจัดการน้ำ เขตศก.พิเศษ กรมทรัพยากรน้ำเชื่ออีก 10 ปี ต้องใช้น้ำ 800 ล้านลบ.ม. พร้อมรับทราบแผนลงทุนโครงข่ายคมนาคม ในพื้นที่ EEC ต่อเนื่อง ถึง 2566 “สมคิด”เร่งประมูลรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน 2.3 แสนล้าน ส่วนแหลมฉบังขั้นที่3 คาดเปิดให้บริการในปี 2568 ปปช.ขีดเส้น 8ก.พ.'บิ๊กป้อม'แจงนาฬิกา รอบ 3

วานนี้ (6ก.พ.) ที่อาคารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้าคสช. เป็นประธานการประชุมครม.นอกสถานที่ โดยหลังการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงความพึงพอใจในการลงพื้นที่จ.ตราดและจันทบุรี ว่าประสบความสำเร็จในหลายหลายๆ ด้านรวมทั้งได้รับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่างๆจากภาคประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้รับหลักการข้อเสนอต่างๆ กว่า 10 โครงการ และจะนำไปพิจารณาเพื่อให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม โดยจะพัฒนาให้พื้นที่ อีอีซี เกิดผลประโยชน์กับประเทศไทยมากที่สุด ทั้งในเรื่องภาษีรายได้เข้ารัฐเพื่อนำไปพัฒนาประเทศ และรองรับการพัฒนาประเทศในอนาคต และที่มีความพอใจ โดยเฉพาะเรื่องของการท่องเที่ยว

**ครม.อนุมัติจัดตั้งระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ที่ประชุมครม. ได้อนุมัติในหลักการโครงการจัดตั้งระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (Eastern Fruit Corridor)ในพื้นที่ภาคตะวันออก เพื่อให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตและตลาดผลไม้เมืองร้อนที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยได้อนุมัติวงเงินงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการ ในระยะที่ 1 จำนวน 80 ล้านบาท เริ่มดำเนินการในปีงบฯ 61 ภายใต้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 5 ด้าน ได้แก่ การบริหารจัดการผลผลิต, การบบริหารจัดการการตลาด, การวิจัยและพัฒนา, พัฒนาองค์กรและเกษตรกร และพัฒนาระบบฐานข้อมูลสารสนเทศ
*** ดึง4หน่วยงานลงMOUดันไทยเป็นมหานครผลไม้โลก

ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานสักขีพยานในการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการผลักดันประเทศไทยให้เป็นมหานครผลไม้ของโลก ระหว่าง 4 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ หอการค้าไทย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยบูรพา โดยจะร่วมกันกำหนดมาตรฐานผลไม้ไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ เช่น ThaiGAP และ Q-GAP และยังเป็นการสร้างเครือข่ายผู้ผลิตและเครือข่ายตลาด นำไปสู่การยกระดับคุณภาพและมาตรฐานสินค้าผลไม้ของไทย

ทั้งนี้ การลงนามใน MOU ยังครอบคลุมไปถึงการเชื่อมโยงตลาดผลไม้ระหว่างผู้ผลิตผลไม้ในภาคตะวันออกและในภูมิภาคต่างๆ กับผู้รับซื้อ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ชาวสวนผลไม้มีตลาดรองรับที่แน่นอน และยังจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ เพราะใน MOU ได้มีการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพผลไม้ของไทยเอาไว้ ตลอดจนจะมีความร่วมมือในการรวบรวม การขนส่ง และการกระจายสินค้า ทั้งในประเทศและการส่งออกด้วย

นายสนธิรัตน์กล่าวว่า นอกจากจะมีการทำข้อตกลงดังกล่าวแล้ว คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบแผนยุทธ์ศาสตร์การค้าผลไม้ครบวงจร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยมีเป้าหมายผลักดันประเทศไทยเป็นมหานครผลไม้ของโลก ภายใต้ 4 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ 1.มุ่งเน้นที่การพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตผลไม้เมืองร้อน สดและแปรรูป ให้มีคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยกำหนดมาตรฐานการผลิตและการค้าผลไม้เกรดพรีเมี่ยมและเกรดรอง และส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ตลอดจนการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ผลไม้ของไทย

2.การพัฒนาช่องทางการจำหน่ายให้มีการเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ พร้อมขยายช่องทางไปถึงตลาดออนไลน์ การทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และตลาดชายแดน 3.สนับสนุนการพัฒนาสมรรถนะด้านการเงินของผู้ประกอบการค้าผลไม้ของไทย โดยจัดหาสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อเป็นเงินทุนให้ผู้ประกอบการขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตผลไม้คุณภาพ และ 4.การประชาสัมพันธ์สินค้าผลไม้เมืองร้อนของไทยให้เป็นที่ต้องการของตลาด

***มั่นใจนักลงทุนแห่เข้าอีอีซี
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมครม.ว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ได้รายงานต่อที่ประชุมครม. เกี่ยวกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่า ผู้ที่มาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ไม่ต้องกังวลเรื่องผังเมือง เมื่อมีคนที่ลงทุนสามารถถือครองที่ดินได้ รวมทั้งด้านแรงงาน โดยไม่ต้องวุ่นวายไปสอบไลเซนส์ เพราะเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ สามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว รวมทั้ง บีโอไอ ได้ประกาศมาแล้วว่า เม็ดเงินที่ มาในภาคตะวันออก มีประมาณ 2 แสนล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 ตัวนี้ สามารถสร้างความเชื่อมันได้ อย่างไรก็ตาม เดิมจังหวัดจะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ แต่วันข้างหน้าก็จะมี การประกาศได้อีก โดยจะประกาศได้เป็นโซนๆไป

นอกจากนี้ ครม.ได้อนุมติตามแผนจัดการเรื่องน้ำในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ของกรมทรัพยากรแห่งชาติน้ำ ที่เสนอให้ครม. จัดทำแผนแหล่งในภาคตะวันออก เพราะมีเป็นพื้นที่เขต อีอีซี ต้องมีแหล่งอุตสาหกรรม และคาดหมายว่าต้องมีแรงงานเกิดขึ้นในพื้นที่ 3 ล้านคน ทำให้มีความต้องการใช้น้ำทั้งอุปโภค บริโภค ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม โดยเชื่อว่าในปี 2570 มี ความต้องการใช้น้ำประมาณ 800 ล้านลบ.ม. และปี 2579 น่าจะใช้น้ำถึง 1 พันล้านลบ.ม. โดยปัจจุบันได้มีการสำรวจพบว่า สามารถจัดหาน้ำได้ 427 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเพียงพอ เพราะมีความต้องการใช้จริงอยู่ ที่ 320 ล้าน ลบ.ม.

ทั้งนี้ มีการกำหนดแผนว่า ต้องปรับปรุงแหล่งน้ำเดิมที่อยู่ในพื้นที่ 6 แห่ง เพื่อเพิ่มน้ำได้อีก 75 ล้านลบ.ม. และจะจัดทำอ่างเก็บน้ำใหม่ 3 แห่ง เมื่อทำแล้วจะสามารถเก็บน้ำได้ ปริมาณเพิ่ม 308 ล้านลบ.ม. พร้อมทั้งเชื่อมโยงแหล่งน้ำด้วยการขุดคลองระบายน้ำให้น้ำพร่องถึงกัน และผันน้ำ ในระยะ 5 ปี น่าจะเพิ่มต้นทุนน้ำได้อีก 20 ล้านลบ.ม. ซึ่งถ้าทำตามแผนนี้รวมทั้งแหล่งสำรอง ของภาคเอกชน ก็จะเพียงพอสำหรับ 800 ล้านลบ.ม. ใน 10 ปีข้างหน้า โดยครม.ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่ เกี่ยวข้องไปดำเนินการ เตรียมความพร้อมจัดทำแผนปฎิบัติ การของตัวเองที่จะรองรับแผนใหญ่

***ครม.รับทราบแผนลงทุนโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่ EEC ถึง 2566
รายงานข่าว แจ้งว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้มีมติรับทราบภาพรวมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคตะวันออก (EEC) ของกระทรวงคมนาคม ตามที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบแผน และคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กนศ.) ได้เห็นชอบไปเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2561 โดยแบ่งเป็นการพัฒนาปรับปรุงโครงข่ายถนนของกรมทางหลวง (ทล.) และกรมทางหลวงชนบท(ทช.) ช่วงปี 2557-2561 วงเงินรวม 77,323.783. ล้านบาท เช่น มอเตอร์เวย์ สายพัทยา-มาบตาพุด ซึ่งจะเปิดใช้ในปี2563

ด้านการพัฒนาระบบราง การรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) มีแผนดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ3 สนามบินแบบไร้รอยต่อ (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม.มูลค่าโครงการ 236,700 ล้านบาทและมีการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์บริเวณมักกะสัน 145 ไร่ และที่ดินรอบสถานีศรีราชา 30 ไร่ โดยที่ประชุม กนศ.ได้รับทราบกรอบหลักการร่วมลงทุนกับเอกชนแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อพิจารณาให้ความเห็นรายงานผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการฯ ก่อนนำเสนอ กนศ.ต่อไป

ส่วนระยะต่อไปจะมีการเชื่อมโยงรถไฟต่อกับประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLMV และจีนตอนล่างเข้ากับ 3ท่าเรือ คือ แหลมฉบัง มาบตาพุด และสัตหีบ และแผนโครงการรองรับนิคมอุตสาหกรรมเชื่อมโยงภูมิภาค ซึ่ง ร.ฟ.ท.เตรียมเสนอคมนาคมของบกลางปี 2561 เพื่อศึกษาความเหมาะสม

นอกจากนี้การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ยังอยู่ระหว่างจ้างที่ปรึกษาทบทวนความเหมาะสมด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ การเงินและสิ่งสิ่งแวดล้อม โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังขั้นที่3 โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2568 ส่วนบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ระยะที่1 ที่สนามบินอู่ตะเภามูลค่าประมาณ 10,300 ล้านบาทเป็นโครงการนำร่องใน EEC

**ปัด"พลังชล"ถูกจีบร่วมรัฐบาลทหาร
นายสุระ เตชะทัต โฆษกพรรคพลังชล กล่าวถึงกรณี นายสนธยา คุณปลื้ม หัวหน้าพรรคพลังชล พร้อมด้วยอดีต ส.ส.ของพรรค พบปะพูดคุยกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระหว่างเดินทางไปประชุม ครม.สัญจร ที่จ.จันทบุรี ทำให้เกิดกระแสข่าวเตรียมเข้าร่วมทางการเมืองในการเลือกตั้งสมัยหน้าว่า นายสนธยา เป็นนักการเมืองที่อยู่ในพื้นที่ ได้ทำงานสนับสนุนเพื่อพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออกตลอดมา เมื่อนายกฯ เดินทางมาประชุม ครม.สัญจร ในฐานะเจ้าบ้านเลยเดินทางไปต้อนรับ ยิ่งในอนาคตจะมีโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เกิดขึ้น จึงได้นำความรู้ความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นทั้ง ด้านคมนาคมทางบก อากาศ น้ำ การท่องเที่ยว การกีฬา มาร่วมแลกเปลี่ยน ส่วนประเด็นการเมืองที่มีการตั้งข้อสังเกตุกันนั้น ไม่มีการพูดคุยประเด็นการเมืองใดๆทั้งสิ้น

**ขีดเส้น 8ก.พ.'บิ๊กป้อม'แจงนาฬิกา รอบ 3
แหล่งข่าวจาก ป.ป.ช. เผยถึงความคืบหน้ากรณี พล.อ.ประวิตร สวมใส่นาฬิกา และแหวนเพชร ราคาแพง แต่ไม่ได้แสดงไว้ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ที่ยื่นต่อป.ป.ช.ว่า เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่ง วันที่ 4 ก.ย.57 ว่า หลังจากมีการแฉเรื่องนาฬิกาหรู ของพล.อ.ประวิตร ออกมาอย่างต่อเนื่อง เป็นนาฬิกา 25 เรือนนั้น ทางป.ป.ช. จึงให้ พล.อ.ประวิตร ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเพิ่มเติม เป็นครั้งที่ 3 โดยส่งหนังสือไป เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ที่ผ่านมา แต่จนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่มีการชี้แจงมาแต่อย่างใด ทั้งที่จะครบกำหนดในวันที่ 8 ก.พ.นี้

ส่วนกรณี ป.ป.ช. ให้เจ้าหน้าที่ ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลจากบุคคลภายนอก ที่มีความเกี่ยวข้องกับนาฬิกาดังกล่าว ตามที่พล.อ.ประวิตรกล่าวอ้าง จำนวน 4 รายนั้น ขณะนี้ได้รับความร่วมมือในการให้ถ้อยคำ และให้ข้อมูลเป็นอย่างดี รวมทั้งจากการที่ ป.ป.ช. มีหนังสือไปยัง บริษัทตัวแทนจำหน่ายนาฬิกาภายในประเทศ ที่ปรากฏเป็นข่าว เพื่อขอทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ก็ได้รับเอกสารจากบริษัทเอกชนบางส่วนมาแล้ว ทั้งนี้ คาดว่าการตรวจสอบจะแล้วเสร็จภายในเดือนก.พ.นี้


กำลังโหลดความคิดเห็น