ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณะวิจัยในเรื่องมะเร็งในองค์การอนามัยโลก International Agency for Research on Cancer ได้เผยแพร่รายงานเมื่อปี 2556 พบว่า โรคมะเร็งได้กลายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของมนุษย์เพิ่มมากขึ้น ในปี 2555 มีคนเป็นโรคมะเร็งรายใหม่สูงถึง 14 ล้านคน [1]
ทั้งนี้องค์การอนามัยโลกได้รายงานว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า ผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่จะเพิ่มขึ้นไปอีก 70% ทั้งนี้จากรายงานเมื่อปี พ.ศ. 2558 โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของโลก โดยมีผู้เสียชีวิตประมาณ 8.8 ล้านคน และในจำนวนนี้ยังได้มีข้อสังเกตว่า 70% ของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งนั้น เกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง
องค์การอนามัยโลกได้ระบุว่า 1 ใน 3 ของการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง มีลักษณะพฤติกรรมและการบริโภค 5 ประการที่ทำให้เกิดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ได้แก่ ความอ้วน รับประทานผักและผลไม้น้อย ขาดการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสูงที่สุดสำหรับโรคมะเร็ง โดยมีความสัมพันธ์ประมาณ 22% ของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง [2]
แม้ว่าความเสี่ยงของโรคมะเร็งนั้นมาจากพฤติกรรมของมนุษย์เอง แต่งานวิจัยในยุคหลังในด้านระบาดวิทยาเริ่มมีความเข้าใจมากขึ้นว่า โรคมะเร็งที่กำลังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของมนุษยชาติจำนวนมากนั้น มีการค้นพบใหม่ๆมากขึ้นว่ามะเร็งหลายชนิดเกิดจากการติดเชื้อจุลชีพด้วย ซึ่งการติดเชื้อที่ว่านั้นครอบคลุมถึง ไวรัส การติดเชื้อพยาธิ การติดเชื้อรา และการติดเชื้อแบคทีเรีย
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2557 ได้เคยมีรายงานประมาณการว่าอุบัติการเกิดโรคมะเร็งใหม่ทั่วโลกมีประมาณ 2 ล้านคน (ประมาณ 16% ) ที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อจุลชีพ เช่น แบคทีเรียที่ชื่อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori) ทำให้เกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, โรคไวรัสตับอักเสบทำให้เกิดโรคมะเร็งตับ, ไวรัสเอชพีวีที่ก่อให้เกิดหูด หรือhuman papilloma virus (HPV) ทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูก , ไวรัสเคเอสเอชวี หรือ Kaposi sarcoma herpes virus (KSHV) ทำให้เป็นโรคมะเร็งผิวหนัง, พยาธิใบไม้ ทำให้เป็นโรคมะเร็งตับ, พยาธิในเลือดเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็งถุงน้ำดี ฯลฯ
โรคมะเร็งที่เกิดจากการติดเชื้อจุลชีพเหล่านี้ ถ้ามีการป้องกันและรักษาอย่างถูกวิธี จะสามารถความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งให้ลดน้อยลงได้ถึง 23% ในประเทศที่พัฒนาทางเศรษฐกิจน้อยกว่า และสามารถที่จะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้ประมาณ 7% ในประเทศที่พัฒนามากกว่า
สำหรับแนวทางการป้องกันนั้นสามารถกระทำได้หลายวิธี เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส การใช้เข็มฉีดยาอย่างปลอดภัย การคัดกรองคุณภาพของเลือดที่บริจาค การใช้ยาต้านจุลชีพ การใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ฯลฯ หากมีการดำเนินการดังกล่าวได้ผลก็จะช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งที่เกิดจากการติดเชื้อจุลชีพได้ [3]
โรคมะเร็งที่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น โรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่พัฒนาไปสู่การเป็นโรคมะเร็งตับ และโรคไวรัสเอชพีวีที่ก่อให้เกิดหูด หรือhuman papilloma virus (HPV) และเป็นสาเหตุสำคัญที่พัฒนาทำให้เป็นโรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งที่เกิดขึ้นจากไวรัสทั้ง 2 กรณีนี้เพียงอย่างเดียวก็ครอบคลุมกรณีของโรคมะเร็งถึง 25% ในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำและปานกลางแล้ว โดยหากมีการใช้วัคซีนดังกล่าวแล้ว ก็จะสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ถึงปีละ 1 ล้านคน [4]
ซึ่งแนวทางการป้องกันขององค์การอนามัยโลกที่ตรงไปตรงมา คือ แนะนำให้ฉีดวัคซีนทั้งป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ (บี) และสำหรับผู้หญิงให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสเอชพีวี เพื่อป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก
สำหรับประเทศไทย โรคมะเร็งเป็นปัญหาการเจ็บป่วย การเสียชีวิต รวมทั้งปัญหาเรื่องภาระโรค (Burden of Disease) ที่ทําให้ประชากรไทยสูญเสียการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการ เสียชีวิตอันดับ 1 ของประชากรไทย แซงหน้าการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตและหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคปอด
จากข้อมูลของสํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุขได้เผยแพร่รายงานว่าในปี พ.ศ. 2559 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตด้วย โรคมะเร็งประมาณ 77,566 คน เป็นเพศชาย 44,490 คน เป็นเพศหญิง 33,076 คน ซึ่งนอกจากจะเป็นสาเหตุ การตายอันดับหนึ่งของคนไทยแล้ว ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย
ผู้ชายไทยมีจํานวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง 5 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งลําไส้ใหญ่ มะเร็งช่องปากและคอหอย มะเร็งเม็ดเลือดขาว
ส่วนผู้หญิงไทยมีจํานวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง 5 อันดับแรก ได้แก่มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และ มะเร็งลําไส้ใหญ่
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าโรคมะเร็งที่เป็นปัญหาสําคัญ 5 อันดับแรกของประเทศ คือ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งลําไส้ใหญ่
และโรคมะเร็งตับได้กลายเป็นแชมป์ของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งทั้งหมดของคนไทยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยผลสำรวจเมื่อปี 2559 คนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดีในตับประมาณ 17,070 คน แบ่งเป็นเพศชายส่วนใหญ่ประมาณ 12,086 คน แบ่งเป็นเพศหญิง 4,984 คน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ชายเสี่ยงชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับมากกว่าผู้หญิงมาก ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมากจากพฤติกรรมของผู้ชายไทยมีพฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และการบริโภคมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิง [5]
เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าการดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มความเสี่ยงโรคตับแและมะเร็งตับ อย่างไรก็ตามวารสารทางการแพทย์ระหว่างประเทศด้านตับที่ชื่อว่า Liver International ได้เผยแพร่รายงานเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2561 โดยได้สำรวจผู้ที่เคยเป็นนักดื่มแอลกอฮอล์หรือดื่มแอลกอฮอล์ในปัจจุบันจำนวน 319,514 คน พบว่าผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์แล้วมีประวัติใช้ ”กัญชา” ร่วมด้วยแล้วกลับพบว่าลดความเสี่ยงโรคตับโดยรวมลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ 30%-45% รวมถึงลดความเสี่ยงโรคมะเร็งตับด้วย โดยงานวิจัยดังกล่าวให้ความเห็นว่ากัญชาน่าจะมีส่วนช่วยการลดการอักเสบ [6]
ดังนั้นหากกัญชาไม่ได้จัดอยู่ให้เป็นสารเสพติดและให้ใช้ในทางการแพทย์แล้ว การวิจัยเพื่อลดอุบัติการโรคตับรวมถึงโรคมะเร็งตับก็อาจจะเป็นความหวังให้กับคนไทยซึ่งป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคตับจำนวนมากขึ้นได้
แต่เพื่อไม่ให้ผู้อ่านสับสนไปไกลถึงขั้นว่ากัญชาเป็นยาเดี่ยวใช้รักษาโรคมะเร็งตับนั้น จะต้องระลึกอยู่เสมอว่างานวิจัยดังกล่าวข้างต้นมีนัยยะเฉพาะการใช้กัญชาอาจจะ “ช่วยป้องกันลดความเสี่ยงโรคมะเร็งตับเท่านั้น” ไม่ได้แปลว่าเมื่อเป็นโรคมะเร็งตับแล้วลำพังการใช้กัญชาเป็นยาเดี่ยวจะทำให้หายจากโรคมะเร็งตับได้
นอกจากนั้นปัจจัยเกี่ยวกับสารพิษจากเชื้อรา เช่น อะฟลาท็อกซิน ที่เกิดขึ้นจากถั่วตากแห้ง และจากพืชที่ผลิตและจัดเก็บไม่ได้มาตรฐาน ก็สามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งตับได้ [7] และยังมีอีกหลายสาเหตุที่ยังไม่ขอกล่าวในที่นี้ เช่น ความเครียด สารพิษ โลหะหนัก ยาฆ่าแมลง ฯลฯ
นอกจากนี้พฤติกรรมของคนไทยอีกประการหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ กินหวานมากขึ้น ใส่น้ำตาลมากขึ้น ก็อาจจะเป็นอีกความเสี่ยงทำให้เกิดโรคมะเร็งตับเพิ่มสูงขึ้นด้วย เพราะงานวิจัยอย่างเป็นระบบในวารสาร Oncotarget เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2560 ได้ทำการวิจัยด้วยการวิเคราะห์อภิธานในฐานข้อมูลของPubMed, EMBASE and the Cochrane Library ถึงเดือนตุลาคม 2559 พบว่า “ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่สูงเพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์ในการเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งตับ ดังนั้นผู้ที่เป็นเบาหวานจึงย่อมมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งตับได้ด้วย” [8]
โดยย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2503 คนไทยยังไม่บริโภคน้ำตาลมากขนาดนี้ คือบริโภคกันประมาณ 7 กิโลกรัมต่อคนต่อปี หรือประมาณไม่ถึงคนละ 4.79 ช้อนชาต่อวันเท่านั้น และพ.ศ. 2529 คนไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ย 24 กิโลกรัมต่อคนต่อปี หรือประมาณเฉลี่ยคนละ 6 ช้อนชาต่อวัน [9] แต่พ.ศ. 2557 คนไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 28.4 ช้อนชาต่อคน !!! [10]
ดังนั้นถ้าจะให้ประเทศไทยลดความเสี่ยงในเรื่องโรคมะเร็งตับ ก็ควรจะต้องรณรงค์และหามาตรการเพื่อให้คนไทยบริโภคน้ำตาลให้ลดลงให้ได้
อย่างไรก็ตามยังมีอีกปัญหาหนึ่งของโรคมะเร็งตับที่อาจจะสำคัญยิ่งกว่า นั้นคืองานวิจัยเมื่อปี พ.ศ. 2551 ที่พบว่าการเกิดโรคมะเร็งตับของคนไทยส่วนใหญ่เกิดขึ้นมากที่สุดในภาคอีสาน (โดยเฉพาะที่จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดขอนแก่น) รองลงมาคือภาคเหนือ ในขณะที่ภาคกลาง โดยเฉพาะภาคใต้เกิดโรคมะเร็งตับน้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดโรคมะเร็งในตับและท่อน้ำดีในตับของคนไทยในภาคอีสานและภาคเหนือเกินกว่า 60% เกิดจากพยาธิใบไม้ที่มีชื่อว่า Opisthorchis viverrin ซึ่งพบมากในผู้ป่วยมะเร็งตับในประเทศไทย [11]
พยาธิใบไม้ชนิด Opisthorchis viverrin เป็นปรสิตพยาธิใบไม้จากสกุลที่มีผลต่อบริเวณท่อน้ำดี การติดเชื้อมักเกิดจากการทานปลาน้ำจืดมีเกล็ดแบบดิบ ๆ สุก ๆ ดังนั้นการรณรงค์ให้คนไทยรับประทานอาหารสุกมากขึ้นย่อมช่วยทำให้คนไทยลดความเสี่ยงมะเร็งตับและท่อน้ำดีให้ลดลงได้
แม้ว่าข้อมูลต่างๆและนโยบายของรัฐจะมีส่วนทำให้ประชาชนมีความรู้เพื่อที่จะป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งตับได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดเป็นโรคมะเร็งตับแล้วก็จะเป็นอีกบริบทหนึ่งซึ่งมีความยุ่งยากในการรักษามากกว่า เพราะในการรักษาโรคมะเร็งตับของแพทย์แผนปัจจุบันนั้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่เมื่อรู้ผลว่าเป็นโรคมะเร็งก็จะเป็นระยะท้ายๆแล้ว ตามสถิติจะมีโอกาสรอดชีวิตภายใน 1 ปี ไม่ถึง 50% ในขณะที่อัตราการมีชีวิตรอดเกิน 5 ปี นั้นน้อยมากจนแทบไม่มี [12]
ในตำราแพทย์แผนไทยที่ใช้ในเรียนการสอนยึดถือว่าเป็นตำราหลวง คือ ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ได้ทีความเข้าใจในเรื่องพยาธิที่ก่อให้เกิดโรคในแต่ละอวัยวะมานานแล้ว และเรียกพยาธิเหล่านี้ว่า “กิมิชาติ”และระบุว่ามีพยาธิที่หลากหลายถึง 80 ชนิด ซึ่งอยู่ในร่างกายมนุษย์แต่ละอวัยวะมาตั้งแต่กำเนิด และก่อให้เกิดโรคขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและปัจจัยการบริโภค โดยระบุเอาไว้ว่า :
“กุมารกุมารีอายุ 5 - 6 ขวบขึ้นไป พันตานซางเจ้าเรือนและซางจรแล้ว จึงบังเกิดเป็นลักษณะตานโจน ด้วยการบริโภคอาหารต่างๆที่ไม่เคย ทำให้บังเกิดโรคต่างๆ บังเกิดหมู่กิมิชาติ 80 จำพวก และหมู่หนอน อาศัยกินอยู่ภายในกายกุมารกุมารี แลสัตว์ทั้งหลายทุกตัวสัตว์มิได้เว้น ครั้นว่ากิมิชาติทั้งหลายเหล่านี้เจริญขึ้นเมื่อใดแล้ว ก็ย่อมกระทำเบียดเบียนสัตว์และมนุษย์ให้บังเกิดโรคแปรปรวนเป็นประการต่างๆ กิมิชาติ 80 จำพวก ดังนี้ ...” [13]
รวมถึงตัวอย่างในตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ที่ระบุเอาไว้ถึงสมุนไพรบางตัวเกี่ยวกับจุลชีพตรงๆ เช่น “โกฐจุฬารส” ความว่า
“โกฐจุฬารส กระจายบุพโพ (กระจายน้ำหนอง,น้ำเหลือง) อันเป็นก้อน ฆ่าเสียซึ่งแม่พยาธิ อันบังเกิดแต่ไส้ด้วนไส้ลาม อุปทม ขับโลหิตอันเน่าให้ตก แลแก้รัตตะปิตตะโรค สังหารเสียซึ่งโลหิตอันบังเกิดแต่กองปิตตะสมุฏฐาน กระจายเสียซึ่งสรรพพิษทั้งปวง” [13]
และเป็นเรื่องที่น่ายินดีว่าเมื่อเร็วๆ นี้ ทางเอ็มดับบลิว คลีนิก ถนนรัชดาภิเษก ได้ทำการทดลองถอดรหัสพันธุกรรมของผู้ป่วยโรคมะเร็งจำนวนหนึ่งเพื่อตรวจหาความจริงจากยีนที่ชื่อว่า Tp53 สิ่งที่ได้ค้นพบคือ กลายพันธุ์ของยีนสำคัญที่มีหน้าที่ในการซ่อมยีนและทำลายเซลล์มะเร็งของผู้ป่วยมะเร็งนั้น มีรหัสพันธุกรรมของพยาธิ เชื้อรา แบคทีเรีย ต่างชนิดกัน แทรกเข้าไปในยีน Tp53 หมายความว่าในปัจจุบันนี้เราสามารถรู้ชนิดของจุลชีพที่เป็นสาเหตุของการกลายพันธุ์ จึงทำให้สามารถจัดการกับเชื้อเหล่านี้ได้ตรงประเด็นด้วย
ซึ่งเรื่องที่น่าอัศจรรย์คือ ในหลักการนี้ได้ตรงกับแพทย์แผนไทยที่ได้ใช้ตำรับยาสมุนไพรเพื่อการขับถ่ายของเสียซึ่งรวมถึงการลดจำนวนจุลชีพและพยาธิ หรือ “กิมิชาติ” ในร่างกายให้น้อยลง เป็นลำดับขั้นตอน ได้แก่“การรุ” หมายถึงการขับถ่ายน้ำเหลือง ตามมาด้วย “การล้อม”ไม่ให้โรคลุกลาม “การขับ”เพื่อขับพิษและจุลชีพออกไป หลังจากนั้นจึงมีการ “การบำรุง” เพื่อปรับธาตุให้สมดุลและสมบูรณ์ ในหลายตำรับและหลายคัมภีร์ และยาบางตำรับมีการเข้ากัญชาร่วมด้วย
ซึ่งหมายความว่าผู้ที่จะใช้ตำรับยาไทยตามคำภีร์และตำรานั้น จะต้องมีความแตกฉานในการตั้งยาจัดทำตำรับสมุนไพรอย่างถูกต้อง และลำดับการใช้ก่อนหลังอย่างถูกต้อง จึงจะมีโอกาสได้ผลภายหลังจากที่เป็นโรคมะเร็งตับ
และข้อสำคัญเมื่อค้นเปรียบเทียบผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันแล้ว จะพบว่า บางตำรับยามีสมุนไพรออกฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย บางตำรับมีสมุนไพรออกฤทธิ์ต้านไวรัส บางตำรับมีสมุนไพรออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา และบางตำรับออกฤทธิ์ในการขับพยาธิ และนั้นหมายความว่าการถอดรหัสพันธุกรรมจะทำให้เราสามารถเลือกใช้ตำรับยาสมุนไพรไทยได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์และแม่นยำขึ้น และอาจเป็นการยกฐานะตำรับยาสมุนไพรไทยได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ได้ โดยเฉพาะหากมีการปลดล็อกให้แพทย์แผนไทยได้มีโอกาสปรุงยาโดยสามารถเข้ากัญชาในทางการแพทย์เพื่อวิจัยในมนุษย์ได้ด้วย
อย่างน้อยการเปิดให้แพทย์แผนไทยได้ทำการปรุงยาเพื่อวิจัยในมนุษย์ได้นั้น นอกจากจะช่วยพิสูจน์ความจริงในภูมิปัญญาได้แล้ว หากสำเร็จประเทศไทยก็อาจเป็นความหวังในการรักษาโรคมะเร็งตับของมนุษยชาติก็ได้
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ (คณบดี) และ แพทย์แผนไทยประยุกต์ แวสะมิง แวหมะ (รองคณบดี)
สถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย
มหาวิทยาลัยรังสิต
อ้างอิง
[1] Ferlay J, Soerjomataram I, Ervik M, Dikshit R, Eser S, Mathers C et al. GLOBOCAN 2012 v1.0, Cancer Incidence and Mortality Worldwide: IARC CancerBase No. 11
Lyon, France: International Agency for Research on Cancer; 2013.
[2] GBD 2015 Risk Factors Collaborators. Global, regional, and national comparative risk assessment of 79 behavioural, environmental and occupational, and metabolic risks or clusters of risks, 1990-2015: a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2015. Lancet. 2016 Oct; 388 (10053):1659-1724.
[3] Oh JK,Weiderpass E.Infection and cancer: global distribution and burden of diseases.Annals of Global Health. 2014 Sep-Oct;80(5):384-92. doi: 10.1016/j.aogh.2014.09.013
[4] Plummer M, de Martel C, Vignat J, Ferlay J, Bray F, Franceschi S. Global burden of cancers attributable to infections in 2012: a synthetic analysis. Lancet Glob Health. 2016 Sep;4(9):e609-16. doi: 10.1016/S2214-109X(16)30143-7.
[5] กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข , สถิติสาธารณสุข พ.ศ. 2559 หน้า 79-80, 87 ISSN 0857-3093
[6] Adeyinka Charles Adejumo, et al.Cannabis use is associated with reduced prevalence of progressive stages of alcoholic liver disease. Liver International. manuscript online: 17 January 2018 DOI:10.1111/liv.13696
[7] Liu Y, Chang C-CH, Marsh GM, Wu F. Population Attributable Risk of Aflatoxin-Related Liver Cancer: Systematic Review and Meta-Analysis.European journal of cancer (Oxford, England : 1990). 2012;48(14):2125-2136. doi:10.1016/j.ejca.2012.02.009.
[8] Han H, Zhang T, Jin Z, et al. Blood glucose concentration and risk of liver cancer: systematic review and meta-analysis of prospective studies.Oncotarget. 2017;8(30):50164-50173. doi:10.18632/oncotarget.16816.
[9] วีณะ ไวทยะ และสง่า ดามาพงษ์, วิวัฒนาการโภชนาการ, นนทบุรี, กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
[10] Global Agricultural Information Network, 2014
[11] Sripa B, Pairojkul C. Cholangiocarcinoma: Lessons from Thailand. Current opinion in gastroenterology. 2008;24(3):349-356. doi:10.1097/MOG.0b013e3282fbf9b3.
[12] Altekruse SF, McGlynn KA, Reichman ME. Hepatocellular Carcinoma Incidence, Mortality, and Survival Trends in the United States From 1975 to 2005. Journal of Clinical Oncology. 2009;27(9):1485-1491. doi:10.1200/JCO.2008.20.7753
[13] มูลนิธิฟื้นฟูส่งสเริมการแพทย์ไทยเดิม, อายุรเวทวิทยาลัย (ชีวกโกมารภัจจ์) ตำราการแพทย์ไทยเดมิ (แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์) หน้า 204 และ หน้า184, พฤษภาคม 2535 ISBN 974-88780-2-3