xs
xsm
sm
md
lg

ป้องกันอัตราเสี่ยงด้วยการเล่นบทใหม่

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


แม้หลังๆ นี้...ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอหน้าเจอตา แถมไม่มีโอกาสเข้าไปดู “เฟซบุ๊ก” ของนักคิด นักวิชาการ อย่าง “อาจารย์พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต” แต่ก็พอได้ไปอ่านเจอในเว็บไซต์ “คม-ชัด-ลึก” ที่หยิบเอาความคิด ความเห็นของอาจารย์นิด้าและประธาน ครป.รายนี้ ที่นำเสนอไว้ในเฟซบุ๊กมารายงานเอาไว้เป็นข่าวคราว ถึงการนำเสนอทางออก ทางเลือกให้กับรัฐบาล คสช.ซึ่งต้องยอมรับว่า...อ่านไป-อ่านมา อดไม่ได้ที่จะต้องรู้สึกว่า “เข้าท่า” มิใช่น้อย...

คือ “อาจารย์พิชาย” ท่านอาจรู้สึกขึ้นมาว่า...เหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงนี้ มันอาจนำไปสู่ “ความเสี่ยง” ขึ้นมาในจังหวะใดจังหวะหนึ่งก็เป็นได้ เป็นความเสี่ยงที่ไม่ได้มีแต่เฉพาะตัวรัฐบาลทหาร หรืออดีตทหารเท่านั้น แต่อาจลุกลามบานปลายถึง “เกียรติภูมิของกองทัพ” เอาเลยก็เป็นได้ โดยเฉพาะถ้าหากมันไปไกลถึงขั้นก่อให้เกิดฉากเหตุการณ์คล้ายๆ กับ “14 ตุลาฯ” หรือ “พฤษภาทมิฬ” ขึ้นมาในวันใด-วันหนึ่ง ด้วยเหตุนี้...เลยต้องถือเป็น “หน้าที่” ของ “นักวิชาการ” ที่จะต้องนำเสนอข้อคิดความเห็นเอาไว้มั่ง แม้ว่า “ไม่ได้คาดหวังว่า คสช.จะปฏิบัติตาม แต่ในฐานะนักวิชาการจำเป็นต้องเสนอทางเลือกที่ผ่านการไตร่ตรองแล้ว และคิดว่าจะมีประโยชน์แก่บ้านเมือง ให้ผู้มีอำนาจได้พิจารณา” ตามข้อความที่ท่านได้เฟซๆ เอาไว้...

สรุปแบบรวบรัดตัดตอนข้อเสนอหลักๆ ของท่านมีอยู่ 4 ข้อด้วยกันดังต่อไปนี้... “1. หัวหน้าคณะรัฐประหาร (คสช.) ควรประกาศต่อสาธารณะว่า จะไม่เป็นนายกรัฐมนตรีภายหลังการเลือกตั้ง และประกาศวันเลือกตั้งให้ชัดเจน สำหรับบทบาทของรัฐบาลของคณะรัฐประหารก็ประกาศให้ชัดว่าจะมุ่งทำหน้าที่ในการดูแลความสงบมั่นคงของบ้านเมือง และการเตรียมการเลือกตั้งให้ราบรื่นลุล่วงไป 2. เร่งรัดให้ สนช.ออกกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว.และดำเนินการให้เนื้อหากฎหมายไม่สร้างปัญหาที่ทำให้การเลือกตั้งต้องยืดเยื้อออกไป 3. ไม่จัดตั้งพรรคนอมินีหรือสนับสนุนพรรคการเมืองใดทั้งในที่ลับและที่แจ้ง พร้อมกับการแสดงจุดยืนความเป็นกลางทางการเมืองในฐานะเป็นผู้พิทักษ์ มากกว่าในฐานะที่เป็นผู้เล่นหรือผู้เข้าไปแทรกแซง และใช้กลไกอำนาจรัฐสร้างเงื่อนไขให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรมและ 4. การคัดเลือก ส.ว.ควรคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ มีชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์ในการทำคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองและความกล้าหาญทางจริยธรรม และมีความหลากหลายด้านอาชีพ ศาสนา อายุ ภูมิภาค ชาติพันธุ์ และเพศสภาพ...”

หรือพูดง่ายๆ ก็คือ...แทนที่จะคิดหันไปเล่นบท “ผู้สืบทอดอำนาจ” ก็ให้หันมาเล่นบท “ผู้พิทักษ์” หรือ “ผู้ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง” โดยจะอาศัยกลไกของวุฒิสมาชิก หรือกลไกอะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ โดยที่ท่านพยายามอรรถาธิบายขยายความเพิ่มเติมเอาไว้ด้วยว่า... “การดำรงบทบาทนี้มีความสำคัญและจำเป็นต่อการเปลี่ยนผ่านและสร้างความเข้มแข็งแก่ระบอบประชาธิปไตยในอนาคต เพราะว่าปัญหาทางการเมืองเท่าที่ผ่านมา เหตุที่ทำให้นักการเมืองมีอำนาจมาก ก็คือ กลไกการตรวจสอบที่เป็นทางการในรัฐสภาไร้ประสิทธิภาพและลำเอียง จนทำให้เกิดเผด็จการรัฐสภาขึ้นมา หาก ส.ว.ในอนาคตที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหารมีจุดยืนในการแสดงบทบาทตรวจสอบรัฐบาล ก็จะทำให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจมากขึ้นและช่วยลดโอกาสของการเกิดภาวะเผด็จการรัฐสภาดังในอดีต” นี่...อันนี้ต้องเรียกว่า ไม่ได้มองกันแต่เฉพาะ “นาฬิกาบิ๊กป้อม” ลูกเดียว แต่ยังพยายามมองยาวไปถึง “นาฬิการัฐสภา” ซึ่งไม่ว่าจะประมูลซื้อกันมาซักกี่เรือน ต่อกี่เรือน แต่ขณะนี้ได้กลายเป็น “นาฬิกาตาย” กันไปซะหมดแล้ว...

คือไม่ว่าใครจะเห็นด้วย-ไม่เห็นด้วยก็ตาม...แต่การมองกันในแนวนี้นี่แหละ ถือเป็นการมองที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อ “ส่วนรวม” มิใช่น้อย เป็นความพยายามที่จะค้นหาทางออก-ทางไปให้กับชาติบ้านเมือง ไม่ว่าผิด-ไม่ว่าถูก แต่สะท้อนให้เห็นถึงเจตนาในเชิงรังสรรค์แบบเต็มๆ เนื้อๆ ไม่ใช่แค่คิดจะไล่บี้ ไล่เช็ด หรือตามไปเชียร์ ไปเชลียร์กันลูกเดียวล้วนๆ แต่เป็นการแสดงออกถึงความตระหนักต่อ “ผลลัพธ์” ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นท่ามกลางการไหลไปตามอารมณ์ ความรู้สึก ตามความชอบ ความชังของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือของใครก็ของมันซะเป็นหลัก...

อันนี้นี่แหละ...ที่เขาเรียกว่ามองอย่างมี “สติ” แถมยังมี “ปัญญา” และ “วุฒิภาวะ” รองรับเอาไว้ด้วย ส่วนมันจะก่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติหรือไม่เพียงใด มากหรือน้อยขนาดไหน อันนั้น...ต้องถือเป็น “เรื่องของมึง” ที่จะต้องไปคิดๆ กันเอาเอง หรือไปชั่งน้ำหนัก “ความเสี่ยง” กันเอาเอง แต่สำหรับนักคิด นักวิชาการ อย่าง “อาจารย์พิชาย” ต้องถือว่าท่านได้ “ทำหน้าที่” ของท่านอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว โดยเฉพาะการชี้ให้เห็นถึง “เงื่อนไข” หรือ “เหตุปัจจัย” ที่จะนำมาสู่ความเสี่ยงด้านต่างๆ ได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ซึ่งไม่ว่าในทางยุทธศาสตร์ หรือยุทธวิธีก็ตาม มีแต่ต้องหาทาง “ขจัดเงื่อนไข” หรือ “ขจัดเหตุปัจจัย” ให้หมดสิ้นลงไป หรือให้ลดๆ ลงไปบ้างเท่านั้น มันถึงจะสามารถ “แก้ปัญหา” ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น