ดูสภาพเรือแป๊ะที่น้ำรั่วเข้าเกือบเต็มลำแล้วบอกได้แต่เพียงว่า...รอดยาก กลาสีเรือมองหน้ากันล่อกแล่ก สวมชูชีพกันทุกคน
ใครจะเผ่นกระโดดหนีก่อน ตัวใครตัวมันคงโทษกันไม่ได้ ทุกคนต่างรักตัวเองทั้งนั้น
มีเงินจ้างผีโม่แป้งได้ก็จริงอยู่ แต่จะให้จมไปกับเรือเพื่อรักษาศักดิ์ศรีธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมนั้น ยุคนี้ก็ยากเช่นกัน
เกิดมาชาติเดียว ชีวิตเดียว จะสละเพื่อคนอื่นคงยากแล้ว โอกาสจะตอบแทนบุญคุณตลอดไปจึงเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ
เรื่องการเอาตัวรอดจากวิกฤตต้องถือว่าเป็น “เรื่องส่วนตัว” เช่นกัน เรื่องยอมตายแทนกันนั้น เป็นยุคเดิมๆ ที่คนยอมตายเพื่อศักดิ์ศรี
ระยะหลังไม่ค่อยได้เห็นกันแล้ว
ที่เห็นทุกวันนี้มีแต่สภาวะ “เน่าก่อนตาย” ยืนต้นตายซาก ไม่ยอมล้ม คนอื่นๆ ไม่กล้าเข้าไปใกล้ กลัวต้นไม้ผุโค่นใส่
อย่างที่ท่านผู้อาวุโสอายุเกือบร้อยปีได้เตือนไว้ว่า กัปตันเรือได้ใช้กองหนุนเกือบหมดแล้ว
นั่นก็นานเป็นเดือนแล้ว ป่านนี้ไม่น่าจะเหลือ กัลยาณมิตรก็หันหลังให้นานแล้ว “น้องๆ” ในกองทัพก็บ่นพึมว่า “ผิดหวัง”
พวกสมุนเหลี่ยมที่เคยสร้างปัญหาให้บ้านเมือง เผาบ้านเผาเมือง ก่อวิบัติสารพัดทำคนตายก็มาก ทหารตาย พิการก็ไม่น้อย แกนนำบางคนยังอยู่สบายดี
ตีฝีปากเล่นงานรัฐบาล ไม่มีใครกล้าทำอะไรได้ คนเสียงดังมาดเข้มถูกคนรู้ทันมองออกว่า “เก่งแต่พูดมาก” ไม่มีผลด้านปฏิบัติทำให้คนขี้สงสัยเชื่อว่าที่แท้แอบเกี้ยเซียะกันใช่หรือไม่
เรื่อง “นาฬิกาหรู” น่าจะเป็นฟางเส้นสุดท้าย แต่ไม่ใช่คำพูดที่ว่า “เรื่องส่วนตัว” นั่นแหละเป็นตัวเร่งสรุปว่า “คงจะหวังอะไรจากคณะนี้ไม่ได้แล้ว”
กว่า 3 ปีไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสำหรับคนส่วนใหญ่ มีแต่อวยเจ้าสัว กลุ่มธุรกิจทุนหนา มีแต่ลงทะเบียนคนจนซึ่งเป็นเหมือนประจานตัวเอง
ปีนี้จะตีทะเบียนเพิ่มอีก ทั้งๆ ที่มีคำประกาศเชิงโม้คำโตว่าปีนี้แหละ “คนไทยจะหายจน” นี่เพิ่งต้นปีเท่านั้น
จะเอาคนจนเป็นกำลังกองหนุนสุดท้ายหรือ เขาคงมองว่าโอกาสจะลืมตาอ้าปากภายใต้การบริหารอย่างนี้คงไม่มีแน่
บทจะขาลง ทำอะไรก็ดูไม่ดี!
สภาพ “เน่าใน” ที่พยายามปกปิดมานานกลายเป็น “เน่าเปิดเผย ปิดไม่ได้ เอาไม่อยู่” ขายหน้าไปทั่วโลก
นาฬิกาอยู่ในแขนเสื้อแท้ๆ ยังปิดไม่อยู่แสงแดดไม่เป็นใจ ทำให้คนเห็นสภาพมั่งคั่งที่ซ่อนเร้น
อ้างว่า “ยืมเพื่อนมา” คนไม่เชื่อแล้วยังมีแต่เสียงหัวเราะด้วยความขบขัน ที่ขันไม่ใช่ข้ออ้าง แต่เป็นสภาพจนแต้ม คิดคำแก้ตัวที่ดีกว่าไม่ได้
ทำให้ไปไม่เป็น น่าอนาถในสายตาของทั้งรุ่นน้อง รุ่นเดียวกัน
งานนี้เน่าทั้งคนยืมนาฬิกา ป.ป.ช.ลามไปถึงคุณท่านผู้นำที่พูดแบบคนฟังได้ แต่ไม่มีใครเชื่อถือ
ลามไปถึงความน่าเชื่อถือของประเทศในสายตาประชาคมโลก เสี่ยงต่อการเป็น “นิติรัฐล้มเหลว” เมื่อระบบดุลแห่งการตรวจสอบพิการจนสิ้นสภาพ
ที่ฝรั่งบอกว่า “Checks and Balances” นั่นแหละ! ของเรายังเหลืออีกหรือ ที่นิด้าก็มีเรื่องฉาว ย้อนเข้าหาตัวรัฐบาลทั้งนั้น
ระวังจะมีใครกระซิบดังๆ “มันจบแล้วละนาย” สำหรับคณะผู้ใหญ่ผู้โตกุมอำนาจขณะนี้เพราะอำนาจไม่จีรังยั่งยืน รู้ๆ กันอยู่
จาก “เรื่องส่วนตัว” ลามไปสู่วิกฤตศรัทธาจากความหน้ามืดซ้ำซาก เพราะลีลาเรื่องยื้อการเลือกตั้ง มีคำอธิบายแบบ “ไม่พูดเสียจะดีกว่า” เพราะพูดแล้วมีแต่เสีย
ความพยายามให้สมุนเขียนเรื่องกฎหมายยื้อเลือกตั้งสะท้อนให้เห็นความจำเป็นต้องมีเวลาเพื่อหาเสียงหยุดสภาวะ “ขาลง”
ใครทำสำเร็จ ดูดี ได้เป็น ส.ว.แน่! หรือมีตำแหน่งอื่นๆ เป็นรางวัล
ถ้าทำไม่สำเร็จ คุณท่านและพวกต้องรักษาเก้าอี้อำนาจไว้ให้นานที่สุด แนวโน้มที่เห็นคือ “โจทย์เก่า โจทย์ใหม่เริ่มโชว์ตัว” ท่าทางโหด
พวกขาประจำเริ่มได้กลิ่นเลือดแล้ว ขอแย่งกันเป็นผู้พิชิตคุมรถม้าลากร่างไปรอบๆ นะ สนามประลองท่ามกลางเสียงโห่ร้อง
เป็นสภาวะที่ไม่น่าอภิรมย์อย่างยิ่ง ว่างๆ คณะคุณท่านควรไปเยี่ยมรุ่นพี่ๆ ใน รสช.บ้างสอบถามว่ารู้สึกอย่างไรหลังจากความผกผัน
ตั้งแต่พฤษภาทมิฬ ยังไม่ได้เห็นห้างพารากอน เซ็นทรัลเวิลด์ ว่าเป็นอย่างไร ถ้านักรัฐประหารรุ่นน้องจะสืบทอดอำนาจแล้วลงเอยแบบเดียวกัน จะเตรียมรับสภาพอย่างไร
ทุกวันนี้ลีลาเพื่อรักษาสืบทอดอำนาจไม่ต่างกันมากนัก คนที่เผชิญกับ รสช.ยังอยู่เรี่ยวแรงยังเหลือ
ยุคนี้มีเพียง “รองเท้าผ้าใบกับใจถึงๆ ก็เกินพอ” ขณะนี้มีเครือข่ายเสื้อแดงชิมลางทุกวัน ถ้าชุดใหญ่มาแบบผ้าป่าสามัคคี น่าสยดสยอง!
ไฟสุมขอนที่คุอยู่ พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อหัวเชื้อมีอยู่เต็มเปี่ยม ถ้าคุณท่านยังไม่รีบหาทางลงง่ายๆ ถ้าดึงดันต่อไปจะลงไม่ได้ ถ้าจะลงอาจไม่ได้เดินห้างในประเทศ
ย้ำอีกครั้ง ระวังจะมีคนบอก “มันจบแล้วครับพี่!” อย่าลืม “ตัวใครตัวมัน” เพราะความอยู่รอดเป็น “เรื่องส่วนตัว”