ผู้จัดการรายวัน360- "บิ๊กตู่" โต้ไม่เคยสั่งไม่ให้สอบทุจริตพวกเดียวกันเอง ย้ำทุกอย่างเดินไปตามกระบวนการ "รสนา" จี้อธิบดีกรมศุลกากร กรมสรรพากร ตรวจสอบการเสียภาษีนาฬิกาหรูทั้ง 25 เรือน ของ"บิ๊กป้อม"
วานนี้ (22 ม.ค.) ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวตอนหนึ่ง ในระหว่างกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "ผู้บริหารส่วนราชการกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ : One Country One Team" ให้กับผู้บริหารระดับสูง ว่า ปี 61 ต้องเปลี่ยนแปลง แก้ทุจริตให้ได้ ต้องใช้กม. กระบวนการยุติธรรม องค์กรอิสระตรวจสอบ และเราต้องเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของเรา
"รัฐบาลนี้ใครบอกว่าผมไม่ตรวจสอบ ซึ่ง สตง., ป.ป.ช. ก็ทำมาตลอด ชี้แจงไปถ้าชี้แจงได้ ก็จบ ถ้าชี้แจงไม่ได้ ก็นำไปสู่กระบวนการ ผมไม่เคยไปสั่งเขาได้เลย ไม่เคยพูดกับเขาว่า ต้องหยุด หรือต้องทำอย่างไร ไม่เคยพูด แล้วบอกว่ารัฐบาลนี้ไม่ต้องรับการตรวจสอบได้อย่างไร มันจะพวกเดียวกันได้อย่างไร ในเมื่อทุกคนต้องทำหน้าที่ของตัวเอง มันไม่ได้ตัดสินใจด้วยคนๆ เดียว แต่ตัดสินด้วยคณะทำงาน ก็ไปว่ามา ไม่ใช่ว่าผมปฏิเสธความรับผิดชอบ อย่างที่หลายคนพูดว่า รัฐบาลนี้ไม่รับการตรวจสอบ และข้าราชการ ถูกฟ้องระนาวอยู่ แต่มีใครรู้ ขึ้นศาลอยู่ ผมเซ็นทุกอาทิตย์ ความรับผิดชอบมีเป็นระดับไป ถ้าแยกแยะไม่ออก ก็จะมีความขัดแย้งตลอดไป อย่าให้ใครมาตีตรงนี้ให้วุ่นวาย " นายกฯ กล่าว
**จี้ตรวจสอบภาษีนาฬิกาบิ๊กป้อม
น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพ โพสต์เฟซบุ๊ก เรียกร้องให้ อธิบดีกรมศุลกากร และกรมสรรพากร ตรวจสอบการเสียภาษีของนาฬิกาทั้ง 25 เรือน ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ตามดำริของนายกรัฐมนตรี ให้เป็นไปตามกลไกของกฎหมาย
โดยระบุว่า ได้ส่งหนังสือลงทะเบียน และเอกสารใบตอบรับ ไปยังอธิบดีกรมศุลกากร และอธิบดีกรมสรรพากร ขอให้ตรวจสอบการเสียภาษีของนาฬิกาทั้ง 25 เรือนดังกล่าว เพราะการที่ พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์ว่า นาฬิกาทั้งหมดยืมเพื่อนมา และคืนไปหมดแล้วนั้น ไม่เป็นเหตุทำให้กรมศุลกากร และกรมสรรพากร ต้องยุติการตรวจสอบ เพราะเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าหลายสิบล้านบาท
ทั้งนี้ ตามพ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 157(4) ให้อำนาจพนักงานศุลกากร มีหนังสือเรียกผู้นำของเข้ามาตรวจสอบ หากมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการฝ่าฝืนกฎหมายศุลกากร
การที่นาฬิกาหรู เป็นนาฬิกาที่ผลิตในต่างประเทศ และพล.อ.ประวิตร สวมใส่นั้น ในเบื้องต้นต้องถือว่า พล.อ.ประวิตร เป็นผู้นำเข้า อธิบดีกรมศุลกากรมีอำนาจออกหนังสือแจ้งให้ พล.อ.ประวิตร มาตรวจสอบว่ามีการเสียอากรขาเข้าถูกต้องหรือไม่ หากพล.อ.ประวิตรให้การว่า ยืมนาย ก. นาย ข. มาสวมใส่ ตนไม่ใช่ผู้นำเข้า ก็ต้องพิสูจน์ให้สิ้นสงสัย โดยการนำนาย ก. นายข. นั้น มายืนยันพร้อมหลักฐาน เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี และใบรับประกัน หากไม่มีหลักฐานดังกล่าวนี้ มีแต่ข้ออ้างลอยๆว่าเป็นของนายก. นายข. ก็ไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นนาฬิกาของนาย ก. นาย ข. และต้องถือว่าเป็นนาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร ซึ่งต้องถูกประเมินเรียกเก็บภาษี และต้องถูกดำเนินคดีอาญา ฐานนำของเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร และเสียภาษีให้ถูกต้อง
แต่ถ้านายก. นายข. มีหลักฐานมาพิสูจน์ได้ว่าเป็นเจ้าของนาฬิกาจริง ก็ต้องพิสูจน์ต่อไปว่า ได้เสียอากรขาเข้าแล้วหรือไม่ หากพิสูจนไม่ได้ ก็มีความผิดตาม มาตรา 242 และพล.อ.ประวิตร ผู้สวมใส่นาฬิกา ก็มีความผิดตามมาตรา 246 ที่รับของหนีภาษีไว้สวมใส่
สำหรับอธิบดีกรมสรรพากร ก็ขอให้ใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 ออกหมายเรียก พล.อ.ประวิตร มาไต่สวนว่าเป็นนาฬิกาของพล.อ.ประวิตร หรือของเพื่อนให้ยืมสวมใส่ หากเป็นนาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร ก็ให้ตรวจสอบต่อไปว่า เงินที่ พล.อ.ประวิตรนำมาซื้อนาฬิกานั้น ได้เสียภาษีหรือยัง หากยังไม่ได้เสียภาษี ก็ต้องประเมินให้เสียภาษีพร้อมเบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม ทั้งดำเนินคดีอาญา พล.อ.ประวิตร ฐานหลีกเลี่ยงภาษีอากร ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 ด้วย
แต่ถ้าพล.อ.ประวิตร ให้การว่าเป็นนาฬิกาของ นายก. นายข. อธิบดีกรมสรรพากร ต้องเรียกนายก.นายข. มาชี้แจงเรื่องภาษี หากนายก. นายข.ยังไม่ได้เสียภาษีเงินได้ กรมสรรพากร ก็ต้องประเมินให้เสียภาษีพร้อมเบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม และดำเนินคดีอาญากับผู้ให้ยืม ฐานหลีกเลี่ยงภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 เช่นเดียวกัน
จึงขอให้อธิบดีกรมศุลกากร และกรมสรรพากร ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และเป็นไปตามดำริที่ท่านนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า "ให้กลไกการตรวจสอบที่มาของนาฬิกาหรูเหล่านั้นดำเนินไปตามขั้นตอนของกฎหมาย"
การดำเนินการหรือไม่ดำเนินการของอธิบดีทั้ง 2กรมฯ จะเป็นข้อพิสูจน์ว่า กลไกตรวจสอบตามกฎหมายที่ท่านนายกฯ กล่าวอ้างนั้น จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จริงหรือไม่ เมื่อผู้ที่ต้องถูกตรวจสอบอยู่ในตำแหน่งระดับสูงรองมาจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี
วานนี้ (22 ม.ค.) ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวตอนหนึ่ง ในระหว่างกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "ผู้บริหารส่วนราชการกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ : One Country One Team" ให้กับผู้บริหารระดับสูง ว่า ปี 61 ต้องเปลี่ยนแปลง แก้ทุจริตให้ได้ ต้องใช้กม. กระบวนการยุติธรรม องค์กรอิสระตรวจสอบ และเราต้องเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของเรา
"รัฐบาลนี้ใครบอกว่าผมไม่ตรวจสอบ ซึ่ง สตง., ป.ป.ช. ก็ทำมาตลอด ชี้แจงไปถ้าชี้แจงได้ ก็จบ ถ้าชี้แจงไม่ได้ ก็นำไปสู่กระบวนการ ผมไม่เคยไปสั่งเขาได้เลย ไม่เคยพูดกับเขาว่า ต้องหยุด หรือต้องทำอย่างไร ไม่เคยพูด แล้วบอกว่ารัฐบาลนี้ไม่ต้องรับการตรวจสอบได้อย่างไร มันจะพวกเดียวกันได้อย่างไร ในเมื่อทุกคนต้องทำหน้าที่ของตัวเอง มันไม่ได้ตัดสินใจด้วยคนๆ เดียว แต่ตัดสินด้วยคณะทำงาน ก็ไปว่ามา ไม่ใช่ว่าผมปฏิเสธความรับผิดชอบ อย่างที่หลายคนพูดว่า รัฐบาลนี้ไม่รับการตรวจสอบ และข้าราชการ ถูกฟ้องระนาวอยู่ แต่มีใครรู้ ขึ้นศาลอยู่ ผมเซ็นทุกอาทิตย์ ความรับผิดชอบมีเป็นระดับไป ถ้าแยกแยะไม่ออก ก็จะมีความขัดแย้งตลอดไป อย่าให้ใครมาตีตรงนี้ให้วุ่นวาย " นายกฯ กล่าว
**จี้ตรวจสอบภาษีนาฬิกาบิ๊กป้อม
น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพ โพสต์เฟซบุ๊ก เรียกร้องให้ อธิบดีกรมศุลกากร และกรมสรรพากร ตรวจสอบการเสียภาษีของนาฬิกาทั้ง 25 เรือน ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ตามดำริของนายกรัฐมนตรี ให้เป็นไปตามกลไกของกฎหมาย
โดยระบุว่า ได้ส่งหนังสือลงทะเบียน และเอกสารใบตอบรับ ไปยังอธิบดีกรมศุลกากร และอธิบดีกรมสรรพากร ขอให้ตรวจสอบการเสียภาษีของนาฬิกาทั้ง 25 เรือนดังกล่าว เพราะการที่ พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์ว่า นาฬิกาทั้งหมดยืมเพื่อนมา และคืนไปหมดแล้วนั้น ไม่เป็นเหตุทำให้กรมศุลกากร และกรมสรรพากร ต้องยุติการตรวจสอบ เพราะเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าหลายสิบล้านบาท
ทั้งนี้ ตามพ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 157(4) ให้อำนาจพนักงานศุลกากร มีหนังสือเรียกผู้นำของเข้ามาตรวจสอบ หากมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการฝ่าฝืนกฎหมายศุลกากร
การที่นาฬิกาหรู เป็นนาฬิกาที่ผลิตในต่างประเทศ และพล.อ.ประวิตร สวมใส่นั้น ในเบื้องต้นต้องถือว่า พล.อ.ประวิตร เป็นผู้นำเข้า อธิบดีกรมศุลกากรมีอำนาจออกหนังสือแจ้งให้ พล.อ.ประวิตร มาตรวจสอบว่ามีการเสียอากรขาเข้าถูกต้องหรือไม่ หากพล.อ.ประวิตรให้การว่า ยืมนาย ก. นาย ข. มาสวมใส่ ตนไม่ใช่ผู้นำเข้า ก็ต้องพิสูจน์ให้สิ้นสงสัย โดยการนำนาย ก. นายข. นั้น มายืนยันพร้อมหลักฐาน เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี และใบรับประกัน หากไม่มีหลักฐานดังกล่าวนี้ มีแต่ข้ออ้างลอยๆว่าเป็นของนายก. นายข. ก็ไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นนาฬิกาของนาย ก. นาย ข. และต้องถือว่าเป็นนาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร ซึ่งต้องถูกประเมินเรียกเก็บภาษี และต้องถูกดำเนินคดีอาญา ฐานนำของเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร และเสียภาษีให้ถูกต้อง
แต่ถ้านายก. นายข. มีหลักฐานมาพิสูจน์ได้ว่าเป็นเจ้าของนาฬิกาจริง ก็ต้องพิสูจน์ต่อไปว่า ได้เสียอากรขาเข้าแล้วหรือไม่ หากพิสูจนไม่ได้ ก็มีความผิดตาม มาตรา 242 และพล.อ.ประวิตร ผู้สวมใส่นาฬิกา ก็มีความผิดตามมาตรา 246 ที่รับของหนีภาษีไว้สวมใส่
สำหรับอธิบดีกรมสรรพากร ก็ขอให้ใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 ออกหมายเรียก พล.อ.ประวิตร มาไต่สวนว่าเป็นนาฬิกาของพล.อ.ประวิตร หรือของเพื่อนให้ยืมสวมใส่ หากเป็นนาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร ก็ให้ตรวจสอบต่อไปว่า เงินที่ พล.อ.ประวิตรนำมาซื้อนาฬิกานั้น ได้เสียภาษีหรือยัง หากยังไม่ได้เสียภาษี ก็ต้องประเมินให้เสียภาษีพร้อมเบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม ทั้งดำเนินคดีอาญา พล.อ.ประวิตร ฐานหลีกเลี่ยงภาษีอากร ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 ด้วย
แต่ถ้าพล.อ.ประวิตร ให้การว่าเป็นนาฬิกาของ นายก. นายข. อธิบดีกรมสรรพากร ต้องเรียกนายก.นายข. มาชี้แจงเรื่องภาษี หากนายก. นายข.ยังไม่ได้เสียภาษีเงินได้ กรมสรรพากร ก็ต้องประเมินให้เสียภาษีพร้อมเบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม และดำเนินคดีอาญากับผู้ให้ยืม ฐานหลีกเลี่ยงภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 เช่นเดียวกัน
จึงขอให้อธิบดีกรมศุลกากร และกรมสรรพากร ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และเป็นไปตามดำริที่ท่านนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า "ให้กลไกการตรวจสอบที่มาของนาฬิกาหรูเหล่านั้นดำเนินไปตามขั้นตอนของกฎหมาย"
การดำเนินการหรือไม่ดำเนินการของอธิบดีทั้ง 2กรมฯ จะเป็นข้อพิสูจน์ว่า กลไกตรวจสอบตามกฎหมายที่ท่านนายกฯ กล่าวอ้างนั้น จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จริงหรือไม่ เมื่อผู้ที่ต้องถูกตรวจสอบอยู่ในตำแหน่งระดับสูงรองมาจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี