ผู้จัดการรายวัน360-โผล่อีก นาฬิกา"บิ๊กป้อม"เรือนที่ 25 "ปาเต็ก ฟิลลิป" ทองคำขาว เรือนละ 1.5 ล้าน "มาร์ค"สวน "บิ๊กตู่" ยันปมนาฬิกาหรู ไม่ใช่เรื่องวาทกรรม แต่เป็นเรื่องพฤติกรรม แนะเคลียร์ "บิ๊กป้อม"ให้ชัด เพื่อสร้างมาตรฐานการเมือง ตามที่ลั่นวาจาว่าต้องการปฏิรูปอย่างจริงจัง ชี้หากปล่อยให้ยืดเยื้อ รัฐบาลจะอยู่ยาก ป.ป.ช.ทำงานลำบาก กระทบความเชื่อมั่นองค์กรอิสระทั้งระบบ ส่วน สนช.ล่าชื่อครบ 26 คนแล้วเตรียมส่ง"พรเพชร"ยื่นศาลรธน. ตีความกฎหมายป.ป.ช.วันนี้
วานนี้ (17 ม.ค.) เฟซบุ๊กเพจ CSI LA ได้เผยแพร่นาฬิกา ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สวมใส่ เป็นยี่ห้อปาเต็ก ฟิลลิป (Patek Philippe)รุ่น Complications Annual Calendar รหัส 5396g-011 ทำจากทองคำขาว 18Kมูลค่า 1.5 ล้านบาท
โดยเป็นภาพที่ถ่ายเมื่อวันที่ 26 ต.ค.57 ที่วัดโฆสมังคลาราม บ้านโพนสวาง ต.โคกสว่าง อ.ปลาปาก จ.นครพนม ที่ พล.อ.ประวิตร เดินทางไปเป็นประธาน ในพิธีทำบุญทอดกฐินสามัคคี โดยมี นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (ขณะนั้น) นำข้าราชการ พี่น้องประชาชนร่วมทำบุญ ได้ปัจจัยในการทำบุญทั้งสิ้น 82,043,529 บาท
**"มาร์ค"ยันปมนาฬิกาไม่ใช่วาทกรรม
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ระบุว่า พร้อมลาออกจากตำแหน่ง หาก ป.ป.ช.ชี้ว่ามีความผิด กรณีแหวนเพชร และนาฬิกาหรู ว่า ตนได้เสนอแนะไปด้วยความเป็นห่วงต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับรัฐบาล จึงอยากให้ชี้แจงให้ชัดเจน เพราะถ้าสังคมสงสัย ไม่เชื่อ แล้วปล่อยให้ยืดเยื้อจะกระทบกับการทำงานของรัฐบาล ทำให้ขาดความเชื่อมั่น และการสนับสนุนจากประชาชน
ส่วน ป.ป.ช. เมื่อชี้แล้วก็จะมีผลทางกฎหมายตามอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่ตอนนี้สังคมเกิดความไม่เชื่อมั่นในตัว ป.ป.ช.ด้วย จึงอยากเห็นการชี้แจงอย่างชัดเจนว่า ข้อเท็จจริงคืออะไร หากยืนยันว่ายืมเพื่อนมาใส่ ก็ชี้แจงรายละเอียดว่า มีกี่เรือน ยืมจากใคร สังคมจะได้จบเรื่องนี้ไป แต่ถ้ายังชี้แจงเพียงเท่านี้ การวิพากษ์วิจารณ์ ก็จะยังอยู่ในสภาพเดิมซึ่งไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล
"ผมคิดว่านายกรัฐมนตรี อย่างน้อยที่สุด ต้องคุยกับ พล.อ.ประวิตร ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เรื่องนี้กระทบความน่าเชื่อถือของรัฐบาล และแปลกใจอยู่ว่า ท่านนายกฯใช้คำพูดว่า อย่าเอาวาทกรรมทางการเมืองมาพูด ทั้งที่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องวาทกรรม แต่เป็นเรื่องพฤติกรรม ผมพยายามชี้ให้เห็นว่า ในฐานะนักการเมืองถูกรัฐบาลชุดนี้ต่อว่าต่อขานว่า การเมืองเก่าๆ เป็นอย่างนั้น อย่างนึ้ จึงชี้ให้เห็นว่า มาตรฐานในรัฐบาลผมที่เป็นนักการเมืองเก่า มีความชัดเจนและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มีปัญหาที่สังคมสงสัย รัฐมนตรีก็ลาออกทั้งๆที่ ป.ป.ช. ยังไม่ได้ชี้ว่ามีความผิด และสุดท้ายก็ไม่ได้มีความผิดด้วย ดังนั้นหากนายกยังอยากใช้คำว่าธรรมาภิบาลอยู่ ก็ควรสะสางเรื่องนี้ให้เรียบร้อยด้วยการสร้างมาตรฐานทางการเมือง อย่างน้อยที่สุดก็คือมาตรฐานการชี้แจงให้เกิดความโปร่งใสต่อสังคม"
นายอภิสิทธิ์ ยังระบุด้วยว่า เข้าใจถึงความสำคัญของ พล.อ.ประวิตร ที่มีต่อรัฐบาล รวมถึงความผูกพันที่มีต่อกัน แต่สิ่งที่ขอคือ ทำอย่างไรให้เกิดความโปร่งใส ถ้ามีข้อเท็จจริงที่มั่นใจว่าถูกต้อง ก็ชี้แจงให้สังคมเข้าใจ และมั่นใจด้วย แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ สภาพของรัฐบาล และการทำงานก็จะได้รับผลกระทบ เพราะต้องไม่ลืมว่า คสช. เข้ามา บอกว่าจะทำให้การเมืองดีขึ้น หากมีปัญหาความเสื่อมศรัทธาขององค์กรอิสระ และ ป.ป.ช. ตามมาอีก จะยิ่งเป็นปัญหาใหญ่ เพราะมีทั้งเรื่องร่างกฎหมายป.ป.ช. ที่มีเนื้อหายกเว้นลักษณะต้องห้าม และ ต่ออายุป.ป.ช. ชุดปัจจุบัน ซึ่งกำลังจะมีการยื่นให้ศาลรธน. วินิจฉัยด้วย สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัญหาพัวพัน ทั้งเรื่องกฎหมาย และสายสัมพันธ์ที่ถูกมองว่าใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจทำให้ ป.ป.ช. ทำงานยากขึ้น และถูกจับจ้อง ผลวินิจฉัยที่ออกมา ก็จะมีคนจำนวนหนึ่ง ไม่เชื่อมั่น ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นการวางรากฐานการเมืองในอนาคตด้วย
"ปัญหาขณะนี้มันพัวพันไปหมด ทั้งเรื่องกฎหมาย ป.ป.ช. ที่มีปัญหา ซึ่งจะพันไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่ถูกมองว่าได้ประโยชน์จากการออกกฎหมายของสนช.ด้วย จะเป็นปัญหากันทั้งระบบ เรากำลังพยายามไม่ให้การเมืองย้อนไปแบบเดิมๆ ที่เคยเกิดในอดีต ก็อย่าทำอีก และควรวางบรรทัดฐานใหม่ๆ ขึ้นมา" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
** ซัด"บิ๊กป้อม"แก้ตัวน้ำขุ่นขุ่น
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประวิตร ชี้แจงเรื่องนาฬิกาหรูว่า เป็นของเพื่อนที่วนกันใส่ ไม่ใช่ของตนเองสักเรือน และได้คืนไปหมดแล้ว ว่า เป็นเพียงการแก้ตัวไปแบบน้ำขุ่นๆ ซึ่งเชื่อว่าสังคมไทย และป.ป.ช. คงไม่เชื่อตามไปด้วย เพราะนาฬิกาแต่ละเรือน มีมูลค่านับล้านบาท อีกทั้งที่ปรากฏตามภาพข่าว ที่พล.อ.ประวิตร สวมใส่นั้นเป็นรุ่น“ลิมิเต็ด”(Limited Edition)ซึ่งมีการผลิต หรือจัดทำขึ้นมาในจำนวนจำกัด เฉพาะผู้ที่สั่งทำเท่านั้น และจะมีการรันนัมเบอร์ ว่ามีผู้ใดสั่งให้ทำ และสั่งจองบ้าง อีกทั้งนาฬิกาแต่ละเรือน จะจัดทำสายรัดที่เป็นโลหะพอดีกับข้อมือของผู้สั่งทำเท่านั้นและหากจะมีการเพิ่มข้อสายรัด ต้องเสียเงินแต่ละครั้งนับหมื่น ถึงแสนบาท
ดังนั้น ข้ออ้างที่ว่า วนนาฬิกากันใส่ในกลุ่มเพื่อน นั้นจึงไร้เหตุผล และหาก พล.อ.ประวิตร ยังคงยืนยันว่าเป็นนาฬิกาของเพื่อนจริง ก็เป็นหน้าที่ของป.ป.ช. ที่จะต้องเรียกเพื่อนของพล.อ.ประวิตร ที่เป็นเจ้าของนาฬิกาทุกเรือน มาตรวจสอบวงรอบข้อมือของแต่ละคน ว่าสามารถสวมใส่พอดีกับตนเองหรือไม่ด้วยจึงจะชอบด้วยเหตุดังกล่าว ข้ออ้างของ พล.อ.ประวิตร จึงไม่มีน้ำหนักเหตุผลเพียงพอ ที่จะทำให้สมาคมฯ และสังคมไทยเชื่อได้ว่า เป็นเหตุผลข้ออ้างของการมีนาฬิกาหรูจากเพื่อแล้วมาวนกันใส่โดยไม่ต้องรายงานบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.อันส่อไปในทางร่ำรวยผิดปกติได้
**ได้ชื่อสนช.ครบส่งตีความกม.ป.ป.ช.
นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสนช. ในฐานะวิปสนช. เปิดเผยว่า ขณะนี้มีสมาชิกสนช. เข้าชื่อร่วมกันจำนวน 26 คน เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งถือว่าเลยเกณฑ์ที่กำหนดที่จะเสนอต่อประธาน สนช. ขอให้ส่งร่างกฎหมายป.ป.ช. ไปยังศาลรธน. ขอให้วินิจฉัยว่า กรณียกเว้นลักษณะต้องห้ามของกรรมการป.ป.ช. ขัดต่อรธน. หรือไม่ ทั้งนี้ช่วงเช้าวันนี้ (18 ม.ค.)จะมีสมาชิกมาร่วมลงชื่อเพิ่มเติมอีก 3-4 คน จากนั้นจะยื่นเรื่องต่อ ประธานสนช. ก่อนจะเริ่มการประชุม
นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกวิป สนช. กล่าวว่า เมื่อมีสมาชิกสนช. เข้าชื่อเพื่อขอให้ศาลรธน.ตีความแล้ว จะต้องรอให้ศาลฯวินิจฉัยให้เรียบร้อย จากนั้นจึงค่อยนำร่างกฎหมายดังกล่าว ส่งให้นายกรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับเมื่อครั้งยื่นกฎหมายผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ตีความ
**พท.ยื่นตีความคำสั่งคสช.ที่ 53/2560
นายวัฒนา เตียงกูล ทนายความ ผู้แทนพรรคเพื่อไทย ได้นำคำร้องของพรรคเพื่อไทย และคำร้องของสมาชิกพรรค13 คน เข้ายื่นต่อศาลรธน. เพื่อขอให้วินิจฉัยว่า คำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ขัดต่อรธน.หรือไม่ และหลังจากนั้น ก็ได้เข้ายื่นคำร้องในประเด็นเดียวกัน ต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายสงัด ปัถวี รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้พิจารณาและเสนอเรื่องพร้อมความเห็นในศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยนายวัฒนากล่าวว่า ดำเนินการในฐานะ ผู้รับมอบอำนาจจากพรรคเพื่อไทย โดยคำร้องที่ยื่น มี 2 คำร้อง คือ คำร้องของพรรคเพื่อไทย และของสมาชิกพรรค 13 คน ที่ขอใช้สิทธิตามรธน. มาตรา 213 ขอให้ศาลรธน.วินิจฉัย เนื่องจากเห็นว่า คำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ละเมิดสิทธิ เสรีภาพ ในทางการเมือง ส่วนที่ต้องยื่นผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินด้วยก็เพราะเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวมีสภาพบังคับเป็นกฎหมาย ซึ่งมีปัญหาความชอบด้วยรธน. และเป็นอำนาจของ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่จะวินิจฉัยตามที่รธน. กำหนด
วานนี้ (17 ม.ค.) เฟซบุ๊กเพจ CSI LA ได้เผยแพร่นาฬิกา ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สวมใส่ เป็นยี่ห้อปาเต็ก ฟิลลิป (Patek Philippe)รุ่น Complications Annual Calendar รหัส 5396g-011 ทำจากทองคำขาว 18Kมูลค่า 1.5 ล้านบาท
โดยเป็นภาพที่ถ่ายเมื่อวันที่ 26 ต.ค.57 ที่วัดโฆสมังคลาราม บ้านโพนสวาง ต.โคกสว่าง อ.ปลาปาก จ.นครพนม ที่ พล.อ.ประวิตร เดินทางไปเป็นประธาน ในพิธีทำบุญทอดกฐินสามัคคี โดยมี นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (ขณะนั้น) นำข้าราชการ พี่น้องประชาชนร่วมทำบุญ ได้ปัจจัยในการทำบุญทั้งสิ้น 82,043,529 บาท
**"มาร์ค"ยันปมนาฬิกาไม่ใช่วาทกรรม
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ระบุว่า พร้อมลาออกจากตำแหน่ง หาก ป.ป.ช.ชี้ว่ามีความผิด กรณีแหวนเพชร และนาฬิกาหรู ว่า ตนได้เสนอแนะไปด้วยความเป็นห่วงต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับรัฐบาล จึงอยากให้ชี้แจงให้ชัดเจน เพราะถ้าสังคมสงสัย ไม่เชื่อ แล้วปล่อยให้ยืดเยื้อจะกระทบกับการทำงานของรัฐบาล ทำให้ขาดความเชื่อมั่น และการสนับสนุนจากประชาชน
ส่วน ป.ป.ช. เมื่อชี้แล้วก็จะมีผลทางกฎหมายตามอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่ตอนนี้สังคมเกิดความไม่เชื่อมั่นในตัว ป.ป.ช.ด้วย จึงอยากเห็นการชี้แจงอย่างชัดเจนว่า ข้อเท็จจริงคืออะไร หากยืนยันว่ายืมเพื่อนมาใส่ ก็ชี้แจงรายละเอียดว่า มีกี่เรือน ยืมจากใคร สังคมจะได้จบเรื่องนี้ไป แต่ถ้ายังชี้แจงเพียงเท่านี้ การวิพากษ์วิจารณ์ ก็จะยังอยู่ในสภาพเดิมซึ่งไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล
"ผมคิดว่านายกรัฐมนตรี อย่างน้อยที่สุด ต้องคุยกับ พล.อ.ประวิตร ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เรื่องนี้กระทบความน่าเชื่อถือของรัฐบาล และแปลกใจอยู่ว่า ท่านนายกฯใช้คำพูดว่า อย่าเอาวาทกรรมทางการเมืองมาพูด ทั้งที่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องวาทกรรม แต่เป็นเรื่องพฤติกรรม ผมพยายามชี้ให้เห็นว่า ในฐานะนักการเมืองถูกรัฐบาลชุดนี้ต่อว่าต่อขานว่า การเมืองเก่าๆ เป็นอย่างนั้น อย่างนึ้ จึงชี้ให้เห็นว่า มาตรฐานในรัฐบาลผมที่เป็นนักการเมืองเก่า มีความชัดเจนและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มีปัญหาที่สังคมสงสัย รัฐมนตรีก็ลาออกทั้งๆที่ ป.ป.ช. ยังไม่ได้ชี้ว่ามีความผิด และสุดท้ายก็ไม่ได้มีความผิดด้วย ดังนั้นหากนายกยังอยากใช้คำว่าธรรมาภิบาลอยู่ ก็ควรสะสางเรื่องนี้ให้เรียบร้อยด้วยการสร้างมาตรฐานทางการเมือง อย่างน้อยที่สุดก็คือมาตรฐานการชี้แจงให้เกิดความโปร่งใสต่อสังคม"
นายอภิสิทธิ์ ยังระบุด้วยว่า เข้าใจถึงความสำคัญของ พล.อ.ประวิตร ที่มีต่อรัฐบาล รวมถึงความผูกพันที่มีต่อกัน แต่สิ่งที่ขอคือ ทำอย่างไรให้เกิดความโปร่งใส ถ้ามีข้อเท็จจริงที่มั่นใจว่าถูกต้อง ก็ชี้แจงให้สังคมเข้าใจ และมั่นใจด้วย แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ สภาพของรัฐบาล และการทำงานก็จะได้รับผลกระทบ เพราะต้องไม่ลืมว่า คสช. เข้ามา บอกว่าจะทำให้การเมืองดีขึ้น หากมีปัญหาความเสื่อมศรัทธาขององค์กรอิสระ และ ป.ป.ช. ตามมาอีก จะยิ่งเป็นปัญหาใหญ่ เพราะมีทั้งเรื่องร่างกฎหมายป.ป.ช. ที่มีเนื้อหายกเว้นลักษณะต้องห้าม และ ต่ออายุป.ป.ช. ชุดปัจจุบัน ซึ่งกำลังจะมีการยื่นให้ศาลรธน. วินิจฉัยด้วย สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัญหาพัวพัน ทั้งเรื่องกฎหมาย และสายสัมพันธ์ที่ถูกมองว่าใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจทำให้ ป.ป.ช. ทำงานยากขึ้น และถูกจับจ้อง ผลวินิจฉัยที่ออกมา ก็จะมีคนจำนวนหนึ่ง ไม่เชื่อมั่น ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นการวางรากฐานการเมืองในอนาคตด้วย
"ปัญหาขณะนี้มันพัวพันไปหมด ทั้งเรื่องกฎหมาย ป.ป.ช. ที่มีปัญหา ซึ่งจะพันไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่ถูกมองว่าได้ประโยชน์จากการออกกฎหมายของสนช.ด้วย จะเป็นปัญหากันทั้งระบบ เรากำลังพยายามไม่ให้การเมืองย้อนไปแบบเดิมๆ ที่เคยเกิดในอดีต ก็อย่าทำอีก และควรวางบรรทัดฐานใหม่ๆ ขึ้นมา" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
** ซัด"บิ๊กป้อม"แก้ตัวน้ำขุ่นขุ่น
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประวิตร ชี้แจงเรื่องนาฬิกาหรูว่า เป็นของเพื่อนที่วนกันใส่ ไม่ใช่ของตนเองสักเรือน และได้คืนไปหมดแล้ว ว่า เป็นเพียงการแก้ตัวไปแบบน้ำขุ่นๆ ซึ่งเชื่อว่าสังคมไทย และป.ป.ช. คงไม่เชื่อตามไปด้วย เพราะนาฬิกาแต่ละเรือน มีมูลค่านับล้านบาท อีกทั้งที่ปรากฏตามภาพข่าว ที่พล.อ.ประวิตร สวมใส่นั้นเป็นรุ่น“ลิมิเต็ด”(Limited Edition)ซึ่งมีการผลิต หรือจัดทำขึ้นมาในจำนวนจำกัด เฉพาะผู้ที่สั่งทำเท่านั้น และจะมีการรันนัมเบอร์ ว่ามีผู้ใดสั่งให้ทำ และสั่งจองบ้าง อีกทั้งนาฬิกาแต่ละเรือน จะจัดทำสายรัดที่เป็นโลหะพอดีกับข้อมือของผู้สั่งทำเท่านั้นและหากจะมีการเพิ่มข้อสายรัด ต้องเสียเงินแต่ละครั้งนับหมื่น ถึงแสนบาท
ดังนั้น ข้ออ้างที่ว่า วนนาฬิกากันใส่ในกลุ่มเพื่อน นั้นจึงไร้เหตุผล และหาก พล.อ.ประวิตร ยังคงยืนยันว่าเป็นนาฬิกาของเพื่อนจริง ก็เป็นหน้าที่ของป.ป.ช. ที่จะต้องเรียกเพื่อนของพล.อ.ประวิตร ที่เป็นเจ้าของนาฬิกาทุกเรือน มาตรวจสอบวงรอบข้อมือของแต่ละคน ว่าสามารถสวมใส่พอดีกับตนเองหรือไม่ด้วยจึงจะชอบด้วยเหตุดังกล่าว ข้ออ้างของ พล.อ.ประวิตร จึงไม่มีน้ำหนักเหตุผลเพียงพอ ที่จะทำให้สมาคมฯ และสังคมไทยเชื่อได้ว่า เป็นเหตุผลข้ออ้างของการมีนาฬิกาหรูจากเพื่อแล้วมาวนกันใส่โดยไม่ต้องรายงานบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.อันส่อไปในทางร่ำรวยผิดปกติได้
**ได้ชื่อสนช.ครบส่งตีความกม.ป.ป.ช.
นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสนช. ในฐานะวิปสนช. เปิดเผยว่า ขณะนี้มีสมาชิกสนช. เข้าชื่อร่วมกันจำนวน 26 คน เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งถือว่าเลยเกณฑ์ที่กำหนดที่จะเสนอต่อประธาน สนช. ขอให้ส่งร่างกฎหมายป.ป.ช. ไปยังศาลรธน. ขอให้วินิจฉัยว่า กรณียกเว้นลักษณะต้องห้ามของกรรมการป.ป.ช. ขัดต่อรธน. หรือไม่ ทั้งนี้ช่วงเช้าวันนี้ (18 ม.ค.)จะมีสมาชิกมาร่วมลงชื่อเพิ่มเติมอีก 3-4 คน จากนั้นจะยื่นเรื่องต่อ ประธานสนช. ก่อนจะเริ่มการประชุม
นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกวิป สนช. กล่าวว่า เมื่อมีสมาชิกสนช. เข้าชื่อเพื่อขอให้ศาลรธน.ตีความแล้ว จะต้องรอให้ศาลฯวินิจฉัยให้เรียบร้อย จากนั้นจึงค่อยนำร่างกฎหมายดังกล่าว ส่งให้นายกรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับเมื่อครั้งยื่นกฎหมายผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ตีความ
**พท.ยื่นตีความคำสั่งคสช.ที่ 53/2560
นายวัฒนา เตียงกูล ทนายความ ผู้แทนพรรคเพื่อไทย ได้นำคำร้องของพรรคเพื่อไทย และคำร้องของสมาชิกพรรค13 คน เข้ายื่นต่อศาลรธน. เพื่อขอให้วินิจฉัยว่า คำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ขัดต่อรธน.หรือไม่ และหลังจากนั้น ก็ได้เข้ายื่นคำร้องในประเด็นเดียวกัน ต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายสงัด ปัถวี รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้พิจารณาและเสนอเรื่องพร้อมความเห็นในศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยนายวัฒนากล่าวว่า ดำเนินการในฐานะ ผู้รับมอบอำนาจจากพรรคเพื่อไทย โดยคำร้องที่ยื่น มี 2 คำร้อง คือ คำร้องของพรรคเพื่อไทย และของสมาชิกพรรค 13 คน ที่ขอใช้สิทธิตามรธน. มาตรา 213 ขอให้ศาลรธน.วินิจฉัย เนื่องจากเห็นว่า คำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ละเมิดสิทธิ เสรีภาพ ในทางการเมือง ส่วนที่ต้องยื่นผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินด้วยก็เพราะเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวมีสภาพบังคับเป็นกฎหมาย ซึ่งมีปัญหาความชอบด้วยรธน. และเป็นอำนาจของ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่จะวินิจฉัยตามที่รธน. กำหนด