คนรุ่นใหม่อาจจะลืมคำว่า “อักลี่อเมริกัน” หรือ “อเมริกันที่น่าชัง” โดยเฉพาะในยุค 1960-1980 ที่สหรัฐฯ ไปเที่ยวจุ้นวางก้ามข่มประเทศอื่นๆ ทำตัวเป็นตำรวจโลก มีคนชิงชังก็มี คนรักก็มี สถานการณ์ไม่ต่างจากทุกวันนี้มาก แต่เป็นเรื่องนโยบายรัฐบาล
มาถึงยุคนี้ สหรัฐอเมริกาได้ประธานาธิบดีชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทำงานครบวาระ 1 ปีวันที่ 20 มกราคม 2560 หลังจากอยู่รอดผ่านมรสุมการเมืองสารพัดจนคนสงสัยว่าจะรอดได้นานแค่ไหน ทำให้คนต้องหวนนึกถึงคำว่า “อักลี่อเมริกัน” อีกครั้ง
คราวนี้เป็นเรื่องพฤติกรรม นิสัยปากไว ปากจัด ของท่านผู้นำ “ทรัมป์” ล้วนๆ!
ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้แสดงให้ประชาคมโลกได้เห็นว่าเป็นมนุษย์มีศักยภาพที่จะก่อ “โอษฐภัย” ใช้ปากสร้างศัตรู ได้ทุกที่ทุกเวลา เป็นคนที่ฝรั่งเรียกว่า “ลิ้นหลวม” หรือ “ปากไวพาจน” บ่อยๆ แต่รอดมาได้ด้วยปากเมื่อคนไม่อยากวิวาทะยาวๆ ด้วย
ทรัมป์ มีสไตล์การพูดห่ามห้าว โผงผาง ไม่เกรงใจใคร ไม่ต้องมากมรรยาท
ทรัมป์ถูกมองว่าคิดอย่างไร ก็พูดอย่างนั้น หลายครั้งปากไปไวกว่าความคิด กว่าจะยั้งได้ก็สายเสียแล้ว เกิดความเสียหาย สร้างกระแสแรงให้เป็นที่ถกเถียงกัน ในกลุ่มนักวิจารณ์บนจอทีวี มีทั้งนิยมชมชอบ หรือไม่ชอบหน้า เช่นคนพรรคเดโมแครต
ความเป็นมหาเศรษฐีมีเงินหลายพันล้านเหรียญ ทำให้เป็นคนดัง มีเมียสวยระดับนางแบบ นางงาม ประสบความสำเร็จในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดดเด่น เป็นกูรูด้านการเจรจาตกลงธุรกิจ แม้บางช่วงล้มเหลว เกือบจนตรอกหลายครั้งแต่รอดมาได้
เคยได้บทเรียนเจ็บปวด แต่ก็ไม่ทำให้ทรัมป์เลิกนิสัยขี้คุย ยังเป็นจอมโวโอ่ทับถม ดูถูกผู้อื่น ในระดับเดียวกัน จนถึงระดับชาติ ระดับสากลเมื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก โดยที่เจ้าตัวก็คาดไม่ถึงว่าจะเป็นไปได้
ปากของทรัมป์ทำให้เสียเพื่อนไปเยอะ สร้างความหวาดระแวงให้ผู้นำชาติยุโรปว่าทรัมป์ยังเป็นคนที่คบได้ ไว้ใจได้ พึ่งพาได้หรือไม่ ผู้นำเยอรมนี นางแองเกลา แมร์เคิลได้เตือนพวกยุโรปแล้วว่าอย่าหวังพึ่งพามิตรที่เคยพึ่งพาได้ ต้องพึ่งตัวเองแล้ว
เมื่อทรัมป์พูดอะไรไป เกิดความเสียหาย มักจะอ้างว่าตนเองไม่ได้พูดโดยมีความหมายเช่นนั้น หรือพลิกลิ้นปลิ้นเปลี่ยนท่าทีเอาตัวรอดไปได้ แม้จะไม่สง่างาม ดูไม่ดีอย่างไร ทรัมป์ไม่สน ตราบใดที่ยังนั่งเก้าอี้ในทำเนียบขาว ใครก็ไม่กล้าแหยม
เป็นคนใช้บริวารเปลือง ทำงานในทำเนียบขาวไม่ถึงปี ต้องเปลี่ยนตัวบุคคลสำคัญหลายคน มีเรื่องฉาวโฉ่ พัวพันธุรกิจส่วนครอบครัวและการดำเนินงานภาครัฐ ยังถูกสอบสวนโดยสำนักงานเอฟบีไอ และคณะกรรมาธิการของรัฐสภา วุฒิสมาชิก
ล่าสุดหลุดปากในที่ประชุมวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กรณีมาตรการช่วยเหลือผู้ลี้ภัย จะเป็นเพราะความไม่ชอบใจ หรือความเกลียดฝังในจิตใต้สำนึก หรืออะไรก็สุดแล้วแต่ ทำให้ทรัมป์พูดถึงประเทศยากจนในละตินอเมริกา และแอฟริกาในแง่ลบ
ทรัมป์ว่า “ทำไมสหรัฐฯ ต้องรับคนจากประเทศ “โสโครกต่ำตม” อย่างเฮติหรือแอฟริกาเข้ามาด้วย ทำไมคนจากประเทศนอร์เวย์ถึงมาไม่มาก” เพียงแค่นี้ก็ทำเอาประเทศในแอฟริกาและละตินอเมริกาเป็นฟืนเป็นไฟเพราะน้ำเสียงเหยียดเชื้อชาติ
การพูดอย่างนั้นสะท้อนให้เห็นท่าทีเหยียดเชื้อชาติและสีผิว เพราะประเทศเหล่านั้นเป็นคนผิวดำและน้ำตาล ส่วนนอร์เวย์นั้นเป็นคนผิวขาวเหมือนทรัมป์ เมื่อเกิดกระแสคนไม่ยอมรับ ทรัมป์ปฏิเสธหน้าตาเฉย อ้างว่าตัวเองไม่ได้พูดอย่างนั้น
แถมยังให้สัมภาษณ์สื่อว่าตนเองนั้นเป็นคนมีท่าทีเหยียดเชื้อชาติ “น้อยที่สุด” แต่เมื่อเกิดเรื่องแล้ว พวก ส.ว.และ ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่เข้าประชุมร่วมกับทรัมป์อ้างไปคนละทาง มีทั้งอ้างว่าได้ยินทรัมป์พูดคำว่า “โสโครกต่ำตม”
ก็มาจากภาษาอังกฤษว่า “Shitholes” ซึ่งเป็นคำดูถูกเหยียดหยามตามสไตล์ฝรั่ง ผ่านไปหลายวัน ความรุนแรงของความไม่พอใจยังไม่ผ่อนเบา มีประเด็นถกเถียงกันว่าทรัมป์ได้ใช้คำนั้นหรือไม่ แต่โดยรวมท่าทีของทรัมป์เป็นการเหยียดเชื้อชาติชัด
ช่วงหลังแม้จะมีคนอ้างว่าไม่ใช่ “Shitholes” แต่น่าจะเป็น “Shithouses” ก็ไม่ทำให้ความหมายหรือทัศนคติของทรัมป์เปลี่ยน เพราะก่อนหน้านี้เคยดูหมิ่นคนหลายประเทศในละตินอเมริกาว่าเป็นพวกนักข่มขืน นักค้ายาเสพติด อาชญากร
ทรัมป์ยังบอกว่าประชาชนเฮติมีแต่พวกติดเชื้อเอดส์ ล่าสุดมีหลายประเทศ เช่นแอฟริกาใต้ กานา บอตสวานา เซเนกัล และเฮติ ได้เรียกทูตสหรัฐฯ เข้าพบเพื่อประท้วงที่ทรัมป์ได้ใช้ถ้อยคำหยามเหยียดประชาชนจากแอฟริกาและละตินอเมริกา
คาดว่าจะมีอีกหลายประเทศที่จะเรียกทูตสหรัฐฯ เข้าพบเพื่อรับหนังสือประท้วง ทั้งยังคาดคั้นให้ทูตสหรัฐฯ ตอบให้ชัดว่าสหรัฐฯ ยังต้องการเป็นมิตรกับประเทศเหล่านั้นอีกต่อไปหรือไม่ บางประเทศก็ประณามพร้อมถามว่าทำไมทรัมป์ใช้คำหยาบคาย
กลุ่มประเทศในสหภาพแอฟริกา และทูตชาติแอฟริกันประจำสหประชาชาติได้เรียกร้องทรัมป์ให้กล่าวคำขอโทษชาติเหล่านั้นอย่างเป็นทางการด้วย แต่ก็คาดว่าคงเป็นไปได้ยาก ทรัมป์เองก็ไม่ยอมรับว่าได้เอ่ยคำนั้น โฆษกทำเนียบขาวก็ปฏิเสธด้วย
ปัญหาไม่หยุดแค่นั้น คอลัมนิสต์ชื่อดังของนอร์เวย์บอกว่า “ขอบคุณทรัมป์ที่อยากให้ชาวนอร์เวย์อพยพไปอยู่สหรัฐฯ เรารู้สึกเป็นเกียรติ เราไม่แห่กันไปหรอก เราพอใจที่จะอยู่ที่นอร์เวย์ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก”
โดนอย่างนี้หลายดอก อย่านึกว่าทรัมป์จะเข็ด ต้องมีอีกจนถึงวันสิ้นฤทธิ์!