xs
xsm
sm
md
lg

ตูน วิ่งใต้จรดเหนือให้บทเรียนอะไรบ้าง?

เผยแพร่:   โดย: ภสัชกร นายแพทย์นพดล จิรสันติ์


เป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกในประเทศไทยที่นักร้องเพลงคนหนึ่งวางแผนวิ่งจากเบตงใต้สุดของไทยผ่านจังหวัดต่างๆ ไปถึงแม่สายเขตแดนสุดเหนือของไทย ใช้เวลาห้าสิบกว่าวันได้รับการต้อนรับจากประชาชนทุกจังหวัดทุกอำเภอทุกตำบลตลอดเส้นทางที่ผ่าน มีหลายจังหวัดที่ไม่ได้วิ่งผ่านประชาชนก็พากันรวบรวมเงินมามอบให้ รวมแล้วได้เงินหนึ่งพันสองร้อยกว่าล้านบาทสำหรับมอบให้สิบเอ็ดโรงพยาบาลที่ขาดแคลนอุปกรณ์เครื่องใช้ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วย

แสดงว่า “ตูน” ก็ดีประชาชนที่สนับสนุนให้กำลังใจก็ดี ดารานักร้องนักแสดงนักมวยนักกีฬาที่ออกมาร่วมวิ่งในบางช่วงบางตอนก็ดี ประชาชนนักเรียนเด็กเล็กที่ออกมารอตามข้างทางวิ่ง รอให้กำลังใจและมอบเงินก็ดี คหบดีจังหวัดต่างๆ มอบเงินก้อนใหญ่ให้ก็ดี สื่อมวลชนทุกช่อง ทุกคลื่น ทุกฉบับ ต่างพากันลงข่าวทุกวันๆ ละหลายครั้ง ท่านนายกรัฐมนตรีก็แสดงความยินดีชื่นชม ขอให้เอาเป็นตัวอย่าง และเมื่อสิ้นสุดการวิ่ง “ตูน” และคณะก็มีโอกาสเข้าพบท่านนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบฯ อย่างอบอุ่น

บทเรียนคงไม่ใช่ “เงินพันสองร้อยกว่าล้านบาท” เป็นแน่ บทเรียนคงจะไปไกลกว่านั้น

เมื่อประมาณ ๖๐ ปีก่อน เมื่อมีคนไข้ยากจนมารับการรักษาที่โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขและไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหรือแพทย์ผู้รักษาก็จะอนุมัติให้ไม่ต้องเก็บค่ารักษาเป็นรายๆ ไป ต่อมาประมาณ ๔๐ ปีก่อนก็มี “โครงการรักษาผู้ป่วยผู้มีรายได้ร้อย” โดยให้กำนันผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้คัดเลือกผู้มีรายได้น้อย ออกบัตรและได้รับการรักษาฟรี ก็ไม่ได้ผู้ป่วยจนจริง ผู้ป่วยบางคนใส่สร้อยคอเส้นโตก็มี ต่อมามอบให้ “อสม.” เป็นผู้คัดเลือก ก็ได้ผู้ป่วยยากจนไม่ทั่วถึง ยังมีผู้ป่วยยากจนอีกจำนวนมากที่อยู่ห่างไกล

การให้บริการผู้ป่วยรักษายากจนก็ดำเนินการแบบผสมผสานเรื่อยมา คือ พบจนจริงก็รักษาฟรั มีบัตรมารักษาฟรี มีเงินมาจ่ายตามบิลก็มี มีจ่ายบางส่วนก็มี มีหลายรายที่ฟรี/ไม่มีเงินจ่าย ทางโรงพยาบาลโดยนักสังคมสงเคราะห์ก็จัดรถส่งกลับถึงบ้านหรือให้เงินค่ารถแก่ผู้ป่วยและญาติ โรงพยาบาลก็อยู่ได้ เพราะได้รับงบประมาณจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นค่าเงินเดือน ค่าไฟฟ้าประปา ค่าเครื่องมือแพทย์(บางปี) ค่าซื้อยาบางส่วน ค่าใช้จ่ายนอกเหนือจากนั้นทางโรงพยาบาลก็ใช้เงินบำรุง(เงินที่เก็บได้จากคนไข้) และเงินที่ได้รับบริจาค(ถ้ามี) โรงพยาบาลก็สามารถดำเนินการได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับปัจจุบันนี้ ด้วยปัจจุบันนี้โรงพยาบาลได้เงินจากคนไข้คนละ ๓๐ บาทเท่านั้น และได้รับเงินงบประมาณอุดหนุนผ่าน “สปสช.” จำนวน ๓,๒๐๐ กว่าบาท ต่อรายหัวประชากรในเขตพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาล ซึ่งก็เพิ่มขึ้นให้ทุกปี แต่ก็ยังไม่พอต่อการบริหารโรงพยาบาลให้มีคุณภาพเป็นที่พอใจของผู้ป่วย ดังที่ทราบกันอยู่ จน “ตูน” และคณะต้องออกวิ่งหาเงินช่วยเหลือ

เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๗ รัฐบาลได้ออกกฎหมาย “๓๐ บาทรักษาฟรีทุกโรค” มีประชาชนให้การสนับสนุน และคัดค้าน แต่ “สื่อ” ส่วนมากและองค์กรอิสระเอกชนให้การสนับสนุน รวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์ใหญ่แห่งค่ายเอกชนย่านวัดเทพลีลา ได้มีการภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรเห็นด้วยเป็นส่วนใหญ่ เมื่อมาถึงวุฒิสภาก็มีการอภิปรายคัดค้านกันมากพอสมควร ผู้อภิปรายสนับสนุนพอมี ผู้เขียนอภิปรายสองประเด็น หนึ่ง การให้การรักษาฟรีแก่ประชาชนทั้งหมดยกเว้นข้าราชการ และประกันสังคมซึ่งมีกฎหมายรองรับอยู่แล้วนั้น จะเป็นภาระต่องบประมาณของประเทศอย่างใหญ่หลวงและต่อไปในอนาคตก็จะไม่สามารถทำได้ มีดังในหลายประเทศที่ใช้แล้วต้องค่อยๆ เลิกไป เห็นได้ชัดที่ประเทศนิวซีแลนด์ หลายที่ประเทศที่ทำได้ดี มีแต่ประเทศแถบสแกนดิเนเวียเท่านั้น เพราะมีประชากรน้อยแต่การศึกษาดีมีงานทำ คอร์รัปชั่นไม่มีหรือมีน้อยมาก รัฐเก็บภาษีได้แพงมากเท่านั้น ที่สามารถทำได้ สอง ของเรานั้นค่าใช้จ่ายจะมีมากขึ้นๆ ไม่มีสิ้นสุด และเรามีภาระต้องใช้งบประมาณที่จำเป็นด้านอื่นอีกมาก รายได้ของประเทศก็ได้จากภาษีจากประชาชน ซึ่งก็ไม่แน่นอน บางปีก็มาก บางปีก็น้อย มีมาตราหนึ่งเขียวว่าค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการใช้เงินร้อยละ ๕ ของงบประมาณที่ได้รับในแต่ละปีและเงินที่เหลือจากการนี้ไม่ต้องส่งคืนคลังเหมือนหน่วยราชการอื่น

เมื่อกฎหมายออกบังคับใช้แล้ว รัฐมนตรี นักการเมืองทุกระดับ ต่างพากันออกข่าวเชิญชวนประชาชนให้ออกไปใช้บริการ คนไข้นอกล้น โอพีดี คนไข้ในเตียงก็ไม่พอนอนในเกือบทุกโรงพยาบาล โรงพยาบาลเริ่มใช้เงินบำรุงที่ได้เก็บจากคนไข้ที่ยังพอมีอยู่ เมื่อเงินบำรุงใช้ไปหมดก็เริ่มเกิดปัญหา

บริการรักษา ๓๐ บาททุกโรค ดำเนินการมาถึงวันนี้แล้วเกือบ ๑๓ ปี มีปัญหา จำเป็นต้องทำการ “ปฏิรูป” เพื่อให้โครงการที่มีประโยชน์ต่อคนจน/ผู้มีรายได้น้อยนี้ สามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างยั่งยืน

การปฏิรูป

๑.ปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการ ที่ หนึ่ง


เปรียบเทียบการบริหารจัดการ ระหว่างระบบเดิมก่อนที่จะมี “สปสช” ขอเรียกว่า “ระบบกระทรวงสาธารณุช” หรือ เรียกสั้นๆ ว่า “ระบบกระทรวงฯ” กับ “ระบบ สปสช”

ระบบกระทรวงฯระบบ สปสช
๑.บริหารโดยข้าราชการ กอง. กรม, สนง. ปลัด ศธ.๑. บริหารโดย จนท. นอกสังกัด ศธ.
๒.ใช้ช้อมูลจาก กอง, กรม, สนง, ป.สธ.,ผู้ตรวจราชการ รพศ. รพท, ศูนย์กพ.อ.,สอ.และ ปัญหาของพื้นที่ และต่างประเทศ๒. ใช้ข้อมูลในพื้นที่เขตรับผิดชอบของสถานบริการ และของสถานบริการ และปัญหาของเขตฯ และต่างประเทศ
๓.งบประมาณ ให้ตามความจำเป็นของสถานบริการนั้นๆ และตามงานฝากของกรม.กอง(ถ้ามี) และ ตามจำนวนเงินบำรุงของสถานบริการ ตลอดจนปัญหาของพื้นที่๓. งบประมาณให้เป็นรายหัวของจำนวนประชากรในเขตรับผิดชอบของสถานบริการ
๔. การจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ แต่ละแห่งซื้อเองและหลายแห่งรวมกันซื้อตาม บช.ยาหลักฯ และตาม บช.ร่วมของระบบส่งต่อฯ๔. สปสช จัดซื้อ ส่งไปให้
๕. การแก้ปัญหาเงินขาด เร็วกว่า๕. การแก้ปัญหาเงินขาด ทำได้ยาก
๖. ประหยัดงบประมาณบริหารจัดการได้ดีกว่า เพราะใช้ข้าราชการประจำที่มีอยู่แล้ว๖.ใช้งบประมาณเพิ่มจ้าง จนท. เข้าทำงานจำนวนมาก คือ งบประมาณร้อยละ ๕ ถ้าเหลือก็ไม่ต้องคืนคลัง เหมือนกับการมีพ่อค้าคนกลางเพิ่มเข้ามา


๒.ปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการ ที่ สอง

ให้การรักษาฟรีตามกฎหมาย ๓๐ บาทรักษาทุกโรค เฉพาะคนจน/คนมีรายได้น้อยที่รัฐบาลได้ค้นหาไว้และได้ออกบัตรซื้อของจำเป็นให้แล้ว มีจำนวนประมาณ ๒๒ ล้านคน

๓.ปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการ ที่ สาม

ขอให้ประชาชนที่เหลือที่สามารถช่วยตนเองได้ระดับหนึ่ง ซื้อ “บัตรสุขภาพ” เพื่อการรักษาจากกระทรวงสาธารณสุข ในราคาที่เหมาะสม และใช้รักษาได้เฉพาะที่สถานบริการของกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้นและค่าใช้จ่ายนี้นำไปหักลดภาษีได้

๔.ปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการ ที่ สี่

ขอให้ประชาชนทั่วไป ซื้อ “บัตรสุขภาพ” จากบริษัทเอกชนที่มีอยู่จำนวนมากในประเทศไทย และ มีประชาชนจำนวนไม่น้อยได้ใช้บริการนี้อยู่แล้ว และไปใช้รักษาในโรงพยาบาลเอกชน และค่าใช้จ่ายนี้นำไปหักลดภาษีได้

๕.เร่งรัดดำเนินการให้บริการที่ช่วยให้ประชาชนมีสุขภาพดีขึ้น เพื่อจะได้เจ็บป่วยลดลง คือ
๕.๑ จัดการด้านส่งเสริมสุขภาพให้มีคุณภาพมากขึ้นอย่างทั่วถึงเมื่อมีผู้ป่วยลดลง ค่ารักษาก็จะลดลง และ “สสส” จึงจำเป็นต้องปฏิรูปด้วย เช่นกัน


๕.๒ จัดการด้านป้องกันโรคไม่ติดต่อให้มีคุณภาพมากขึ้นอย่างทั่วถึง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต โรคมะเร็ง โรคถุงลมโป่งพองจากการสูบบุหรี่ โรคพิษสุรา โรคภูมิแพ้ โรคกรรมพันธุ์ อุบัติเหตุ โรคเหตุจากมลพิษสิ่งแวดล้อม การตั้งครรภ์ในเด็ก การทำแท้งอันตราย ฯลฯ

๕.๓ จัดการด้านป้องกันโรคติดต่อที่ไม่ต้องใช้วัคซีนให้มีคุณภาพมากขึ้นอย่างทั่วถึง เช่น โรคท้องร่วงอย่างแรง วัณโรค มาลาเรีย โรคหวัด กามโรค โรคเอดส์ ฯลฯ

๕.๔ จัดการด้านป้องกันโรคติดต่อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน เช่น คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน วัณโรค โปลีโอ ฯลฯ ให้ได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ห่างไกล แม้จะมีข้อจำกัดที่มีราคาแพงก็ตาม

เภสัชกร นายแพทย์นพดล จิรสันติ์
อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดลำปาง


กำลังโหลดความคิดเห็น