xs
xsm
sm
md
lg

"มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก" ตัวอย่างของผู้ที่ลุแก่อำนาจ คิดว่าตัวเองควบคุมทุกอย่าง หิวกระหายไม่รู้จักพอ สักวันเขาจะได้รับบทเรียนที่เจ็บปวด !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก" ตัวอย่างของผู้ที่ลุแก่อำนาจ คิดว่าตัวเองควบคุมทุกอย่าง หิวกระหายไม่รู้จักพอ สักวันเขาจะได้รับบทเรียนที่เจ็บปวด !!

**ไม่แปลกใจ ที่ในที่สุดเฟซบุ๊ก แพลตฟอร์มอันดับหนึ่งของโลกได้ปรับการพบเห็น public page ให้ลดลง โดยข้อใช้ข้ออ้างอันสวยหรูของผู้ก่อตั้งหนุ่มอย่าง นายมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ว่าเป็นการ "คืนความสุข" แก่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก เพราะฟีดแบ็กสะท้อนมาว่า ผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก มีความสุขมากกว่าเวลาได้อ่านฟีดของเพื่อน และครอบครัว
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ก็เพิ่งจะออกกติกามาแล้วว่า หากผู้ใช้ยังต้องการพบเห็นคอนเทนต์จากพับลิกเพจที่ตนเลือกติดตามเป็นประจำสม่ำเสมอ ต้องพยามกดไลค์โพสต์เหล่านั้นให้ถี่ๆ
**นโยบายเหล่านี้กับข้ออ้างของ นายมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ท้ายสุดก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า การบีบบังคับให้พับลิกเพจทั้งหลาย ต้องเสียเงินให้เฟซบุ๊กมากกว่าเดิม โดยไม่มีทางเลือกในการที่จะรักษาการพบเห็นให้คงอยู่กับผู้ติดตามเพจตน
ทำไม มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ถึงต้องใช้ ม.44 ออกกฎนี้ขึ้นมา ทั้งๆ ที่มาตรการส่งเสริมให้มีการกดไลค์และแชร์ดังกล่าว ก็น่าจะบีบให้พับลิกเพจต่างๆ ยอมสปอนเซอร์จนรายได้เฟซบุ๊กสูงลิบลิ่วอยู่แล้ว ?
เหตุผลก็คือ นโยบายนี้เอาเข้าจริงสามารถใช้ได้กับพับลิกเพจใหม่ๆ ที่ผู้ติดตามยังไม่ได้ติดลมบนเท่านั้น ตราบใดที่มีสาวกพับลิกเพจที่ติดลมนั้นๆ ยังไลค์ และแชร์อยู่ ก็ยังไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องจ่ายเงินให้เฟซบุ๊กมากนัก และในทางจิตวิทยาเนื้อหาที่ติดคำว่า sponsor ทางเจ้าของเพจเองก็รู้สึกไม่ค่อยจะแฮปปี้เท่าไร
ในขณะที่เฟซบุ๊ก ได้ข้อมูลจากผู้ใช้งานไปเรียบร้อยแล้วว่ามีความชอบ และสนใจเรื่องอะไร เมื่อถึงจุดที่ไม่ต้องหลอกลวงกันอีกต่อไป จึงใช้ ม.44 กันอย่างโต้งๆ โดยไม่ได้มีความเคารพต่อสิทธิ์ในการรับข้อมูลข่าวสารของผู้ใช้อันพึงมีโดยชอบธรรม ทั้งๆ ที่ นายมาร์ค เป็นอเมริกันชนเต็มตัวของประเทศอเมริกา ชอบประกาศปาวๆถึงสิทธิ และเสรีภาพ
ความไม่มีธรรมมาภิบาลในเรื่องนี้ของนายมาร์ค ที่อ้างข้างๆคูๆ ประเด็นคืนความสุขให้ผู้ใช้ เป็นการอนุมานของนายมาร์คเอง ทั้งๆ ที่นายมาร์ค สามารถทำแบบสอบถามผู้ใช้ได้ว่า เห็นด้วยกับนโยบายนี้หรือไม่
ที่จริงเฟซบุ๊ก สามารถเขียนโปรแกรมให้แยกฟีดออกเป็นสองประเภทอย่างชัดเจนได้ ระหว่างเพจที่เป็นเพื่อน และเพจที่กดติดตาม ซึ่งน่าจะทำให้การคืนความสุข และการเสพย์ข้อมูลมีเส้นแบ่งที่ชัดเจน สร้างความสะดวกให้ผู้ใช้ด้วยซ้ำ
**ทีเวลาไปเสือกกับผู้ใช้ แนะนำให้สร้างหรือแชร์เมมโมรี่โน่นนี่นั่น ประมวลผลเฟซบุ๊กทำได้ แต่เรื่องที่ไปกระทบสิทธิ์เขาตรงๆเหล่านี้ นายมาร์ค ไม่คิดจะทำ
ที่ตลกร้ายก็คือ การกดไลค์ หรือกดติดตามพับลิกเพจของผู้ใช้เฟซบุ๊ก ในการที่จะรับข้อมูลต่างๆ ไม่ได้มีใครเอาปืนไปจ่อหัวใคร ว่าเธอต้องฟอลโลว์ฉัน และผู้ใช้ก็มีสิทธิ์จะยกเลิกการติดตาม ตามสะดวกทุกวินาทีอยู่แล้ว
อันที่จริงผู้ใช้หลายคนก็มีความสะดวกใจไม่เหมือนกัน ในการที่จะต้องกดไลค์ตลอด เพื่อให้สามารถพบเห็นข้อมูลจากเพจที่ตัวเองติดตาม เพราะในหลายครั้งอยากเห็น แต่ไม่สะดวกจะกดไลค์ ก็ถมเถ
หรือแม้แต่เพจธุรกิจ เพจพับลิก เมื่อโพสต์ใดเริ่มมีคนกดไลค์กันเข้ามา เฟซบุ๊กจะเริ่มเสนอให้สปอนเซอร์โพสต์นั้นทันที และหลายคนจะมีความรู้สึกว่า การพบเห็นโพสต์ดังกล่าวจะถูกเฟซบุ๊กจับเรียกค่าไถ่
**คำถามคือ หากเป็นเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ นายมาร์ค ผลักดันนโยบายพับลิกเพจให้เกิด หรือเป็นยุคที่มี กูเกิลเอิร์ธ ประกาศท้ารบอย่างเต็มที่ นายมาร์ค จะกล้าลุแก่อำนาจเช่นนี้ไหม
และที่ชัดเจนว่ามันเป็นเรื่องของความหิวกระหายเงิน ก็เนื่องจากว่าแนวคิดของมาร์ค คนเดียวคงไม่สามารถผ่านบอร์ดของบริษัทที่จดทะเบียนได้ ถ้าไม่มีการประมาณการรายได้ที่น่าจะเก็บได้มากขึ้น จากนโยบายดังกล่าว
แน่นอน คงจะไม่มีใครสามารถไปทำอะไรนายมาร์ค เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิ์ผู้ใช้ครั้งนี้ได้ เพราะนายมาร์ค ถือว่าได้มีข้อกฎหมายครอบคลุมในการที่ผู้ใช้จะต้องยินยอมรับกฎ ระเบียบเฮงซวย ที่นายมาร์ค จะควบคุมโดยไม่มีเงื่อนไขเอาไว้แล้ว เมื่อลงทะเบียนในตอนแรก หรือต่อให้มีแรงต้านทานมากแล้วอย่างไร ในเมื่อเฟซบุ๊ก ติดลมบนอย่างไร้คู่แข่งไปแล้ว
หวังว่า ถ้าการบีบพับลิกเพจ ด้วยนโยบายนี้ได้ผลดี ก้าวต่อไปของนายมาร์ค จะไม่ใช้มาตรการเดียวกันกับ อินสตราแกรม อีกแพลตฟอร์ม ที่นายมาร์ค ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อบล๊อกคู่แข่งของเฟซบุ๊ก จนกระทั่งเปลี่ยนมาเป็นเครื่องมือที่ใช้ตีกระหนาบผู้ใช้ในปัจจุบัน
หลายปีก่อนจนกระทั่งไม่นานมานี้ นายมาร์ค ยังคงเป็นไอดอลที่หลายๆ คนชื่นชม เพราะสร้างความสุขให้คน สร้างโอกาสให้คน เปลี่ยนโลกให้คนเข้าถึงกันมากขึ้น แต่นับจากวันนี้ไป น่าสนใจว่าจะยังมีเสียงชื่นชม หรือเสียงก่นด่าจากประชาชีจนคะแนนนิยมหดหายหรือไม่ อย่างไร
**และเชื่อว่าอีกไม่นาน มุมมืดต่างๆ เบื้องหลังของทั้งเฟซบุ๊ก และนายมาร์ค จะถูกทยอยขุดออกมาประจานแก่ชาวโลก
หากจะเอา มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก มาเทียบกับ สตีฟ จ๊อปส์ ผู้วางรากฐานของโลกยุคใหม่ละก็
มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก จะไม่ได้รับการเชิดชูว่าเป็นผู้เปลี่ยนโลกในระดับเดียวกับ สตีฟ จอปส์ อีกต่อไป ถึงแม้สตีฟ จะขึ้นชื่อในด้านความก้าวร้าว ในการบริหารงานในบริษัทของเขา และ ระบบiOS จะเป็นระบบปิด แต่ก็ไม่เคยจะใช้ ม.44 กับผู้ใช้ทั่วโลกอย่าง นายมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก
ใครที่เคยดูหนังเรื่องประวัติ นายมาร์ค คงจะเห็นแล้วว่า มาร์ค สร้างเฟซบุ๊ก จากการขโมยไอเดียคนอื่น และทรยศผู้ร่วมลงทุน และได้จ่ายค่าชดเชยตามผลการตัดสินของศาลไปแล้ว
ในทฤษฎีสมคบคิด ยังมีคนเชื่อว่าเบื้องหลังการลงทุนในธุรกิจ start up ของเฟซบุ๊ก รวมถึงกูเกิ้ล มีเงาแฝงการสนับสนุนของหน่วยข่าวกรองอเมริกา ที่มองว่านี่คือหนทางในการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล และธุรกิจทั่วโลก
ความเชื่อนี้สามารถสะท้อนได้จากจีนเองก็ต้องมีแพลตฟอร์มของตัวเอง อย่าง เถาเป่า เว่ยปั๋ว และ วีแชต ไม่ยอมให้เฟซบุ๊ก ของนายมาร์ค เข้าไปกล้ำกราย และนี่คือเหตุผลทางด้านความมั่นคงล้วนๆ
**อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าเฟซบุ๊กคิดว่าตนเองมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้ในแพลตฟอร์มของตน ในการดูดเม็ดเงินให้มากขึ้น ถึงแม้จะละเมิดสิทธิ์ของผู้ใช้ก็ตาม แต่ในมุมกลับกัน เฟซบุ๊กกลับไม่เคยจ่ายภาษีให้กับประเทศใดๆ เลย กับการได้เงินสปอนเซอร์ของเพจต่างๆ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเม็ดเงินที่ควรจะเข้ารัฐ ของแต่ละธุรกรรมจากประเทศนั้นๆ มีมูลค่าหลักพันล้าน จนถึงแสนล้าน ทั้งๆ ที่เฟซบุ๊ก มีสำนักงานอยู่ในทุกประเทศ
เมื่อเฟซบุ๊กมีทัศนคติ และวิธีกอบโกยที่เอาแต่ได้แบบนี้ อาจกระตุ้นกระแสความไม่พอใจต่อผู้ใช้ทั่วโลก จนปานปลายไปสู่การผลักดันให้เฟซบุ๊ก ต้องเสียภาษีอย่างถูกต้องให้กับแต่ละประเทศทั่วโลก ก็ได้
หากจำไม่ผิด น่าจะมีกรณีนี้เกิดขึ้นมาแล้ว กับประเทศหนึ่งที่เฟซบุ๊ก แพ้คดีต่อรัฐ และจำต้องจ่ายภาษี แต่ยังไม่ได้กลายเป็นโมเดลของรัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมถึงบ้านเรา เนื่องจากเหตุผลว่าไม่ต้องการมีข้อพิพาทกับสหรัฐอเมริกา
ดูแนวคิดของ มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ดูการใช้ ม.44 ของเฟซบุ๊ก แล้วย้อนกลับมาดูบ้านเราก็จะเห็นสัจธรรมที่ไม่ต่างกันว่า ไม่ว่าแต่ก่อนคุณจะมีกองหนุนแค่ไหน หากลุแก่อำนาจ และทรยศต่อวิชาชีพ และอุดมการณ์ กองหนุนก็จะไม่เหลือ
**จับตาดูอนาคตต่อไปของ มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก และ ประยุทธ เอ้ยไม่ใช่ !!! เฟซบุ๊กให้ดี ว่าเขาจะหนีจากกงล้อประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติ พ้นจากหลักความเสื่อมไปได้หรือไม่.

จิตตนาถ ลิ้มทองกุล

ใช้รูป-- มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก


กำลังโหลดความคิดเห็น