ผู้จัดการรายวัน360- อดีต รมว.คลัง เตือนรัฐบาลลดบทบาทกฟผ.- ปตท. ให้เอกชนคุมธุรกิจพลังงานแทน ระวังเปิดช่องทุนใหญ่ นายแบงก์ โบรกเกอร์ ที่อยู่เบื้องหลังนโยบาย เข้ากอบโกยผลประโยชน์ ทางแก้ ห้ามอุ๊บอิ๊บ ต้องตีกรอบเอกชนไม่ให้อำนาจผูกขาด เปิดเสรีอย่างแท้จริง ไม่คุ้มครองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.คลัง โพสต์เฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala ในหัวข้อ“หลัก
การที่เลือนลาง”แสดงความเห็นต่อกรณีที่ประชุมครม. เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 60 มีการเสนอนโยบายเรื่องพลังงาน ลดบทบาทของกฟผ. และปตท. เพื่อให้เอกชนดำเนินงานบางอย่างแทน
นายธีระชัย เห็นว่าการเสนอนโยบายเรื่องพลังงานดังกล่าว มีการเกริ่นนำอย่างตื่นเต้นเร้าใจ ในด้านกฟผ.ข่าวระบุถึงปัญหาด้านการผลิตและจัดหาไฟฟ้าที่ไม่คำนึงถึงต้นทุนเท่าที่ควร มีการลงทุนที่สูญเปล่าของโรงไฟฟ้าถ่านหิน ที่กระบี่ และ เทพา มีแนวคิดนำเข้าไฟฟ้าจากเขื่อนสตึงมนัม และโรงไฟฟ้าถ่านหินเกาะกง มีการลงทุนที่ใช้หลักการ cost plusซึ่งทำให้ประชาชนต้องรับค่าใช้จ่ายสูง และวิจารณ์การให้สิทธิกฟผ. นำเข้า LNGเองว่าไม่ได้มีผลส่งเสริมการแข่งขันเท่าที่ควร
ในด้านปตท. ระบุปัญหาว่าผู้ค้ารายอื่นไม่สามารถแข่งขัน LNGได้จริง กำไรหลัก มาจากค่าผ่านท่อซึ่งเป็นการเก็บค่าบริการที่ซ้ำซ้อนของท่อที่หมดอายุไปแล้ว
และมีข้อเสนอต่อครม. ที่ประชาชนควรรับทราบแต่เนิ่นๆ เช่น (1) ให้กฟผ. หยุดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (2) ระงับโครงการไฟฟ้าชีวมวล และแสงอาทิตย์ของกฟผ. เพื่อไม่ให้เกิดการลงทุนซ้ำซ้อน ไม่แย่งเชื้อเพลิงกับเอกชน (3) ควรแยก กฟผ. ในส่วนการผลิตและระบบสายส่งออกจากกัน และให้เน้นเอกชนเป็นผู้ผลิตแทน (4) ควรเปิดเสรีนำเข้า LNGให้มีผลจริงจัง (5) ควรชะลอการอนุมัติให้ ปตท. รับซื้อ LNG โดยสัญญาระยะยาว เป็นต้น
แหล่งข่าวระบุความเห็นว่าจะทำให้เอกชนเป็นผู้ผูกขาดแทน ส่วนกฟผ. จะถูกย่อยสลาย และปตท. จะถูกลดบทบาท และข้อเสนอดังกล่าว น่าจะเกี่ยวกับแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ในหนังสือเลขาธิการ ครม.
"ผมขอบอกว่า เรื่องนี้ใหญ่มาก และข้อวิจารณ์ปัญหาที่ระบุในข่าว บางข้อถูกต้อง แต่บางข้อผิดอย่างจัง และเป็นเรื่องของผลประโยชน์เงินทองเต็มๆ เพราะหลายกิจกรรมของทั้งกฟผ. และปตท. ตั้งอยู่บนพื้นฐานสิทธิผูกขาด ซึ่งเกิดจากอำนาจมหาชนของรัฐ ถ้าหากทำโครงการเหล่านี้ได้ถูกต้อง ประเทศชาติจะได้ประโยชน์อย่างมาก เพราะจะขีดเส้นจำกัดขอบเขตรัฐวิสาหกิจอย่างเหมาะสม และเปิดให้เอกชน เป็นผู้ดำเนินการในกิจกรรมบางอย่างที่มีประสิทธิภาพมากกว่า แต่ถ้าหากทำไม่ถูกต้อง จะเปิดช่องให้เอกชนบางราย สามารถเข้ามาหาประโยชน์ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งผู้ที่จะต้องรับเคราะห์ก็หนีไม่พ้นที่จะเป็นประชาชน
เนื่องจากโครงการเหล่านี้ ถ้าแม้นเอียงไปเอียงมา แต่เพียงไม่กี่องศา ก็สามารถจะนำเงินสู่กระเป๋าบุคคลต่างๆได้อย่างมหาศาล ประกอบกับยุครัฐบาลคสช.เป็นห้วงเวลาพิเศษที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยมีนายทุนระดับชาติ นายแบงก์ โบรกเกอร์ มาชุมนุมกัน ช่วยกำหนดนโยบายต่างๆ ที่จะกลายเป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติ ผูกมัดรุ่นลูกรุ่นหลานไปถึง 20 ปี"
ดังนั้น ถ้าไม่ตั้งหลักการที่เป็นธรรมแก่ประเทศชาติ ก็อาจจะเกิดกรณีที่มีเอกชนบางคน บางกลุ่ม ฉกฉวยเอาสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือเอกสิทธิของประชาชน ไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน ของคนเฉพาะกลุ่มเกิดขึ้นได้ ซึ่งเราเคยเห็นมาแล้วในอดีต ซึ่งแม้นว่าภาคประชาชนจะต่อสู้ผ่านศาลปกครองมายาวนาน ก็ยังไม่สามารถแก้ไขในสิ่งที่ผิดได้เลย
ถามว่าหลักการที่ควรจะต้องคำนึงก่อนอื่นทั้งหมด มีอะไรบ้าง ?
1. รัฐบาลจะต้องไม่ทำอะไรแบบ“อุ๊บอิ๊บ”แต่ต้องเปิดเผยข้อศึกษา แผนการ และข้อเสนอต่างๆ แต่ละเรื่องๆเพื่อรับฟังความคิดเห็นอย่างหลากหลาย โดยกรณีที่มีผู้ทักท้วง ก็จะต้องมีคำตอบเปิดเผยต่อสาธารณะทุกกรณี
2. กิจกรรมที่จะเปิดให้เอกชนเข้ามาดำเนินการแทนรัฐวิสาหกิจนั้น จะต้องตีกรอบ และตัดทอน มิให้เหลืออำนาจผูกขาดใดๆ มิฉะนั้น จะเป็นเพียงการเปิดให้เอกชนหากำไรแบบง่ายๆ เท่านั้น
3. จำนวนเอกชนที่จะเข้ามาดำเนินการ จะต้องเปิดเสรีตลอดไป จะต้องไม่มีการคุ้มครอง โดยต้องให้สภาวะตลาดเป็นตัวตัดสินเองแบบอัตโนมัติว่าคุ้มค่าที่เอกชนรายใหม่จะเข้าไปร่วมแข่งขันอีกด้วยหรือไม่
"ผมไม่เห็นว่า มีหลักการ 3 ข้อนี้ เสนอต่อครม.ที่ไหนเลย จึงขอเตือนท่านนายกฯ ให้ระวังมิให้ครม.ตกเป็นเครื่องมือของข้าราชการที่มีความใกล้ชิดกับนายทุนระดับชาติ นายแบงก์ โบรกเกอร์ ที่อาจจะพยายามเสนอโครงการที่เอื้อประโยชน์แก่คนเหล่านี้" นายธีระชัย ระบุ