xs
xsm
sm
md
lg

‘ทรัมป์’ และ ‘คิม’ พาโลกใกล้หายนะ

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์


ทั้งสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือต่างก็ขยับเข้าใกล้จุดแตกหักซึ่งอาจเกิดการปะทะกันด้วยกำลัง และถ้ายังไม่อยู่สงครามนิวเคลียร์จะเป็นมาตรการสุดท้ายของผู้นำทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งยังดึงดันไม่ยอมลดราวาศอกให้กัน

เป็นการพิสูจน์ว่าเมื่อเลยจุดยับยั้งใจ ใครจะบ้าเลือดเข้าตามากกว่ากัน และนำโลกสู่หายนะด้วยสงครามซึ่งไม่เคยประสบมาก่อน หรือไม่

นี่เป็นภาวะล่าสุดของการเผชิญหน้าระหว่างผู้นำสหรัฐฯ จอมกร้าว โดนัลด์ ทรัมป์ รุ่นพ่อ และคิม จองอึน จอมกร่าง รุ่นลูก พญาอินทรีย์กับหมูน่อยเขี้ยวตัน ซึ่งได้สร้างปรากฏการณ์ความห้าว ฮึกเหิมเกินอายุ

มาถึงจุดนี้คงไม่มีใครสงสัยในความใจถึงของคิมอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีคนปรามาสว่าจะไม่รอดจากการหักโดยกลุ่มเขี้ยวยาวของเกาหลีเหนือ ที่ไหนได้ นอกจากจัดการศัตรูและภัยการเมืองแล้ว คิมยังรอดอยู่ได้

แม้แต่น้องชาย และอาเขย ก็ยังไม่พ้นจากฝีมือคิม ทำให้ความเป็นเผด็จการรุ่นเยาว์ ยกระดับรวดเร็วเป็น “ผู้นำที่รัก” รุ่นที่ 3 ในเวลาไม่กี่ปี มีคนหวาดกลัวในความใจถึง และสภาวะที่เดาอารมณ์ พฤติกรรมได้ยาก

นี่แหละที่ทำให้ทรัมป์ รวมทั้งผู้นำเพื่อนบ้าน เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และจีน ไม่กล้าประเมิน “ความเป็นคิม จองอึน” ต่ำอีกต่อไป เพราะแม้กระทั่งจีนเอง ซึ่งเกาหลีเหนือแม้จะดูเกรงใจ ก็ยังแสดงว่าเอาไม่อยู่

ดังนั้น ทุกฝ่ายได้แต่เรียกร้องให้ทรัมป์และคิม ยับยั้งชั่งใจ อย่าหุนหันพลันแล่น เน้นการเจรจาหาทางออกก่อนที่ฝ่ายใดรู้สึกว่าถอยไม่ได้ จะทำให้โลกเสี่ยงต่อความหายนะวินาศสันตะโร ผู้คนล้มตายเป็นเบือ

เหยื่อที่รอดจากพิษระเบิดนิวเคลียร์ จะอยู่ในสภาพเช่นใด!

ถ้ารบกัน จะจบอย่างเร็ว เพราะทั้ง 2 ฝ่ายคงระดมสรรพอาวุธใส่กันอย่างไม่ยั้งเพื่อหวังความได้เปรียบ เมื่อช้างใหญ่กับช้างเล็กพิษรอบตัวประสานงากัน หญ้ารอบๆ บริเวณสมรภูมิเพื่อนบ้านคงไม่เหลือเช่นกัน

ขึ้นอยู่กับว่าใครจะขยายขอบเขตของการประลองกำลังไปไกลหรือไม่ และจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองว่าต่างฝ่ายต่างยั่วยุ ท้าทายซึ่งกันและกัน ทั้งสหรัฐฯ เกาหลีเหนือ และล่าสุดเกาหลีใต้ก็เอากับเขาด้วย

การซ้อมรบร่วมกันระหว่างกองทัพอากาศสหรัฐฯ เกาหลีใต้ โดยมีเครื่องบินรบทันสมัย รวมทั้งเครื่องบินขับไล่โจมตีทิ้งระเบิดแบบล่องหนที่สหรัฐฯ ระดมมาแสดงแสนยานุภาพ ทำให้เกาหลีเหนือมองว่าท้าทายมาก

เป็นจุดสุดท้ายที่อาจเกิดสงครามนิวเคลียร์ได้ทุกเวลา นั่นเป็นท่าทีของเกาหลีเหนือ ซึ่งมองว่าการซ้อมรบเป็นการข่มขู่คุกคามโดยตรง เพราะทั้งสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือได้ซ้อมการทิ้งระเบิดจุดสำคัญในเกาหลีเหนือ

พื้นที่เหล่านั้นสมมติขึ้นว่าเป็นฐานจรวด ฐานเรดาร์เกาหลีเหนือ และกองกำลังทางอากาศ ทำอย่างจริงจัง รวมเครื่องบินทั้งหมด 230 ลำและกำลังพลรบประมาณ 12,000 นาย มีทั้งเครื่องบินล่องหน เอฟ 35 เอฟ 22

นี่ทำให้เกาหลีเหนือกังวล เส้นกระตุกอย่างมาก เพราะเรดาร์เกาหลีเหนือไม่สามารถจับการเคลื่อนไหวเครื่องบินล่องหนของสหรัฐฯ ได้ ดังนั้นถ้าจะเป็นการป้องกันตัว เป็นการยากที่จะเดาว่าใครจะชิงลงมือก่อน

ก่อนหน้านั้น เกาหลีเหนือได้ทดสอบจรวดนำวิถีข้ามทวีป ฮวาซอง 15 เมื่อสัปดาห์ก่อน เป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดที่เกาหลีเหนือได้ทดลอง สามารถยิงได้ไกล ครอบคลุมทุกพื้นที่ของสหรัฐฯ ทั้งเมืองสำคัญทั้งหมด

ด้วยการยิงระยะไกลถึง 13.000 กม. หรือ 8,000 ไมล์ จรวดเกาหลีเหนือสามารถโจมตีเป้าทุกจุดทั่วโลก จะไม่ทำให้ชาวโลกหวาดเสียวได้ไง

จะโทษเกาหลีเหนือที่ซุ่มทดลองระเบิดนิวเคลียร์ฝ่ายเดียวไม่ได้ ก่อนหน้านี้หลายประเทศก็ละเมิดข้อห้ามทำให้มีอาวุธร้ายแรง เช่น อินเดีย ปากีสถาน บัดนี้โลกยอมรับเกาหลีเหนือว่าเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์แล้ว

ทั้งสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ก็พอๆ กัน ใช้มาตรการต่างๆ ทั้งข่มขู่คุกคามด้วยท่าทีสารพัด โชว์อาวุธ ซ้อมรบใกล้บริเวณชายแดน ไม่ปิดบังเจตนาว่านั่นคือการเอาเกาหลีเหนือเป็นเป้าของการโจมตีทำลาย ญี่ปุ่นก็เสี่ยงด้วย

ล่าสุดเป็นข้ออ้างว่าเป็นการซ้อมรบประจำปี แต่ก็ถือว่าเป็นจังหวะไม่เหมาะ เพราะเกิดขึ้นหมาดๆ หลังจากเกาหลีเหนือทดลองจรวดครั้งล่าสุด

ความพยายามขององค์การสหประชาชาติในการลดความตึงเครียดทำให้ต้องส่งตัวแทนไปเยือนกรุงเปียงยาง เพื่อหาทางเจรจากับผู้นำเกาหลีเหนือ นับเป็นก้าวสำคัญหลังจากได้ห่างเหินไปนานก่อนเกิดวิกฤตการณ์

เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายการเมือง เจฟฟรีย์ เฟลท์แมน จะพบเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือเพื่อแสดงความกังวลต่อวิกฤตการเผชิญหน้าและหาทางออก จะได้ผลแค่ไหนคงคาดเดาได้ยาก เพราะทรัมป์และคิมต่างไม่ยอมฟังใคร

สติและอารมณ์ของทรัมป์กำลังเครียดกับปัญหาของตัวเอง ส่วนคิมก็อยากพิสูจน์เขี้ยวเล็บของหมูน่อยว่าไม่ธรรมดา ชาวโลกก็ต้องเสียวต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น