วันนี้ 28 ธันวาคม 2560 ในหลวงท่านเสด็จวางพวงมาลา สักการะพระบรมรูปสมเด็จครับพระเจ้ากรุงธนบุรี ประเทศเรานั้น ตั้งแต่สูงสุดลงจนต่ำสุด ไม่เคยลืมว่า ”พระเจ้าตาก” ทรงกู้เอกราชคืนจากพม่าได้ แต่ ในวันนี้ ผมจะขอนำเอาเรื่องพระเจ้าตากมาพิเคราะห์ในอีกแง่หนึ่ง ครับ คือ การหลอมรวมกันเป็น “ชาติไทย” ในสยาม
ในยุค”ชาตินิยม”นั้น เราพากันเข้าใจว่าพระองค์ท่าน “แปลก” กว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใด คือ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีเชื้อสาย”จีน” แต่เพียงพระองค์เดียวในสยาม โดยเชื่อกันว่าราชวงศ์ก่อนหน้านั้น เป็น”ไทย” และหลังจากท่านก็เป็น “ไทย” ความจริง เชื้อสายทางแม่ของพระเจ้าตากนั้นก็เป็นไทย ครับ และตัวท่านเองนั้น ก็ได้เติบโตมาในราชการสยามและอยู่ไม่ห่างจากราชสำนัก แม่ท่านนั้นก็น่าจะเป็นชาวไทย แต่จะไทยบริสุทธิ์หรือไม่นั้น ไม่ทราบ ในเวลานั้นคนในอยุธยานั้นหลากหลาย มีทั้งที่หนักมาทางไทยอย่างเดียว แต่ก็มีที่มาจากทางมอญ เขมร ลาว ฝรั่ง ญี่ปุ่นและจีน ปะปน อยู่ไม่น้อย อยู่ผสมผสานกัน ครับ เราไม่แน่ใจว่าตอนนั้นจะมี “ไทยแท้”หรือไม่ และจะมีอยู่สักแค่ไหน แม้ว่าขณะนั้นคนในกรุงส่วนใหญ่จะพูดไทยก็ตาม สำหรับท่านบิดาของพระเจ้าตากนั้น ท่านเป็นจีนแน่ แต่ในเวลานั้นชาวจีนทั้งปวงที่มาอยู่ต่างถิ่นรวมทั้งสยามนั้น ย่อมมากันแต่ผู้ชาย ไม่มีใครอาจพาภรรยาหรือพาผู้หญิงจีนเข้ามาด้วย ล้วนมาแต่งงานอยู่กินกับชนพื้นเมือง ฉะนั้นแม่ของพระเจ้าตากนั้น น่าจะไม่ใช่”จีนนอก” เป็นแน่ ที่จริง เราคนไทยจำนวนหนึ่งในทุกวันนี้ คงไม่ต่างจากพระเจ้าตากเท่าไร คือ รวมหลายเลือดเนื้อเป็นชาติเชื้อไทย
รัชกาลที่หนึ่งเอง ซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นไทย ที่จริงแล้วท่านก็น่าจะทรงมีเชื้อสาย”จีน” แม้จะไม่มีมากเท่าพระเจ้าตาก ในสาแหรกของท่านนั้น ต้นตระกูลเป็นมอญ สืบสายมาจากท่านโกษาปาน ซึ่งรับราชการในสมเด็จพระนารายณ์เป็นสามารถ แต่บรรพชนของท่านโกษาปานนั้น เป็นมอญแน่แท้ แต่ตระกูลนี้อยู่ในสยามมาหลายร้อยปี ย่อมผสมปนเปกับชนส่วนใหญ่จนกลายเป็นไทยไปมากแล้ว และคงได้ผสมปนเปกับจีนไม่น้อย ดังเห็นเป็นที่ประจักษ์ว่า”บ้านที่เกิด” ของรัชกาลที่หนึ่ง คือบริเวณวัดสุวรรณดารารามนั้น อยู่ในย่าน“ป้อมเพชร” ซึ่ง โปรดทราบ ก็ คือ “ไชนาทาวน์” ของอยุธยา นั่นเอง อยู่ไม่ไกลไปจากบ้านเรือนของครอบครัวพระเจ้าตาก ทั้งสองพระองค์จึงเป็นเพื่อนเล่นกันแต่วัยเยาว์ ดูแล้ว เป็นไปได้ยากที่ผู้ใดที่ไม่มีบรรพชนจีน หรือ ไม่มีเชื้อสายจีนแล้ว จะมาอาศัยอยู่ในแถบนั้นได้
ยิ่งไปกว่านั้น โปรดทราบ มีบันทึกไว้ว่ารัชกาลที่สี่ ทรงเล่าให้เซอร์ยอห์น บาวริ่ง ราชทูตของอังกฤษที่มาเข้าเฝ้าว่าพระราชวงศ์ของพระองค์ท่านนั้นมีเชื้อสายจีนด้วย
อนึ่ง รัชกาลที่ห้า พระปิยมหาราชนั้น ท่านทรงมีพระราชินีสามพระองค์ จาก ตระกูล”สุจริตกุล “ คือ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทา หรือ “สมเด็จเรือล่ม” หนึ่ง สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา ซึ่งเป็น ”สมเด็จย่า “ ของ ในหลวง ร 8 และ ร 9 สอง และ สาม สมเด็จพระศรีพัชรินทรา พระราชมารดาของรัชกาลที่ 6 และ 7 อันต้นตระกูล “สุจริตกุล” นั้น ในฝ่ายหญิงตามบันทึกนั้น มาจากตระกูล “เจ้าสัวจีน”อย่างแน่นอน
ราชวงศ์จักรี ซึ่ง แน่นอน เป็นต้นแบบอันเราทั้งปวงภาคภูมิใจด้วยในความเป็น “ไทย” หรือ เป็น “สยาม” ในทุกวันนี้ ยอมรับในความเป็นไทยที่มี “พหุนิยมในกำเนิด” ตามที่เล่ามาข้างบนนี้ เห็นชัดที่สุดก็จากงานสังเวยพระป้ายทุกปีในยามตรุษจีน เพื่อสักการะและรำลึกถึงบรรพชนในสายจีน มองอย่างนี้แล้ว สายวงศ์ของพระเจ้าตากไม่ได้แตกต่างมากมายนักจากราชวงศ์จักรี
ส่วนราชวงศ์ อื่น ๆ ก่อนหน้าพระเจ้าตากนั้น ก็น่าจะไม่ใช่”ไทยแท้” น่าจะมีชาติพันธ์อื่นๆ ผสม หรือกลมกลืนอยู่ด้วย เป็นแน่ ตำนานโบราณบางเล่มก็เล่าว่าต้นกษัตริย์อยุธยานั้น แต่งงานกับราชธิดาพระเจ้ากรุงจีนก็มี ประเด็นที่ขอชี้ คือ สยามประเทศ โดยเฉพาะ กรุงศรีอยุธยานั้น แต่ดั้งแต่เดิมมา ไม่ใช่ “ ไทยบริสุทธิ์” หรือ “ไทยแท้” หากเป็นเมือง ”พหุวัฒนธรรม พหุชาติ พหุภาษา” ยากที่คนยุค “ชาตินิยม” อย่างปัจจุบันนี้ จะคิดได้ เข้าใจได้ ในกรุงศรีอยุธยาอันเรืองรองนั้น จึงปรากฏ บริเวณ หรือ ย่านทั่วไป แต่ ก็มีย่านมอญ ย่านจีน ย่านลาว ย่านเขมร ย่านญี่ปุ่น ย่านอังกฤษ ฝรั่งเศส โปรตุเกส ฮอลันดา ฯลฯ อยู่ด้วย ความที่สยามประเทศเรานั้น เดิมมา ขาดแคลนซึ่งประชากร ขาดราษฎรมากโข จึงย่อมไม่อาจรังเกียจเดียดฉันท์นานาชาตินานาภาษา จึงเปิดใจกว้าง ยอมรับผู้คนจากหลากหลายกำเนิด และผสมผสานกับเขาอย่างสบายใจ สะดวกใจเราผสมได้กับแทบทุกวัฒนธรรม แทบทุกภาษา แทบทุกชาติพันธ์ ยิ่งกรุงศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นเมืองหลวง และอยู่ไม่ไกลทะเลด้วยแล้ว ย่อมจะมีการค้าขาย ติดต่อ แลกเปลี่ยน และ มีการผสมผสาน กลมกลืน กับผู้คนจากนานาชาติมาก เป็นพิเศษ
ด้วยเหตุนี้ ราชวงศ์ต่างๆ ที่ ปกครองอยุธยามา ย่อมมี เลือดเปอร์เซีย เลือดจีน เลือดมลายู เลือดลาว เลือดผู้ไท เลือดล้านนา เลือดไทใหญ่ กระทั่งเลือดพม่า ผสมผสานอยู่ด้วย มิพักต้องพูดถึงเลือดอื่น ๆที่คลุกเคล้า อยู่ด้วยเป็นแน่
มองอย่างนี้แล้ว พระเจ้าตาก มหาราชที่ยิ่งยงพระองค์นี้ มิได้ทรงแตกต่างกว่ากษัตริย์ก่อนท่านหรือหลังท่านมากนัก ในแง่ที่มิได้ทรงเป็น “ไทยบริสุทธิ์” แน่นอนว่า ท่านมิได้เป็น “ไทยบริสุทธิ์” แต่ ก็มิได้ทรงเป็น “จีนบริสุทธิ์” เช่นกัน
เราคนไทยนั้น จากสูงสุด ลงมา ถึงต่ำสุด แทบจะไม่มีใครเป็น “ไทยแท้” หายากมาก ครับ ชาวบ้านชาวนาชาวไร่ในภาคเหนือและอีสานนั้น แม้จะไม่มีเชื้อสายจีนเลย แต่ก็พูดภาษาถิ่นที่แตกต่างจากไทยกลาง ไม่นานมานี้เองคนภาคกลางยังเรียกคนเหนือและอีสานว่า “ลาว” แม้เราจะนับว่าลาวกับไทยเป็นชาติพันธ์เดียวกัน แต่ในเลือด”ลาว” ของพวกเขานั้นย่อมผสมผสานกับมอญ ลัวะ เขมร ซึ่งอยู่ในแถบนั้นมาก่อนนาน แล้ว ส่วนชาวบ้านภาคใต้นั้นเล่า แม้จะภูมิใจในความเป็นไทย แต่พวกเขาย่อมจะมีเลือดเขมรปนเป ด้วยเหตุว่าอ่าวไทยนั้นนำชาวเขมรมาสู่ภาคใต้ของไทยได้อย่างง่ายดายในอดีต และเลือดทมิฬ สิงหล ย่อมปนเป ไม่น้อย กับชาวไทยใต้ ด้วยอาศัยทะเลอันดามัน พามา ส่วนชาวบ้านภาคกลางเอง มีหลายที่ที่บอกเองด้วยความภูมิใจในสายเลือดหรือต้นตระกูลตนที่พูดเขมร พูดมอญ มาก่อน
ประเทศไทยที่เรารักกันทุกคนนี้ ความจริง มาจาก “หลาย”เลือดเนื้อ “หลาย” ชาติพันธ์ แล้ว “หลอม” รวมกัน เป็น ชาติเชื้อ “ไทย”บริสุทธิ เดียวกัน สมมติสำเร็จว่า เป็น “ไทยแท้” หรือ “ไทยบริสุทธิ์” อันเดียวกัน ต่างหาก ครับ !! ประเด็นนี้ไม่ได้ทำให้ความเป็นไทยของเรานั้นน่า”ภูมิใจ” น้อยลง กลับน่าจะมากขึ้นด้วยซ้ำ มีไม่กี่แห่งในโลกที่เป็นเช่นนี้ ทำได้เช่นนี้ ทำสำเร็จ เช่นนี้ ทุกวันนี้ เมื่อพูดถึงความเป็นไทยแล้ว เลือดในกายทุกคนย่อมเต้นเร่า ! นี่เป็น”ชัยชนะ” อันใหญ่หลวงของกระบวนการ ”สมมติ” นี้ ก้าวต่อไป ในความเห็นผมคือ ผสมข้ามกลุ่มต่อไป อย่างขมักเขม้น และ อย่าให้ใครอ้างว่าตนเป็นไทยแท้ แล้วไปรังแกคุกคามดูเบาคนที่ไม่เป็นไทย หรือไม่เป็นไทยแท้ ไม่เป็นไทยบริสุทธิ์ สุดท้าย ต้องพยายามทำให้ไทยที่เชื่อว่ามีสายเลือดไทย”แท้” หรือมีมาก หรือมีสายเลือดอื่นๆ ที่มิใช่จีน ผสมอยู่ ได้ลุกขึ้นยืน ได้ผงาด และเติบโตขึ้น มากกว่านี้