xs
xsm
sm
md
lg

เยรูซาเล็มนครแห่งความหลัง (จบ)

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


ความพยายามสร้าง “ชาติอิสราเอล” ให้ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร หลังจากสามารถฟื้นฟูความเป็นประเทศอิสราเอลขึ้นมาได้ใหม่ในปี ค.ศ. 1948 แม้บรรดาชาวยิวทั้งหลาย จะทิ้งแผ่นดินแห่งนี้ไปนับพันๆ ปีมาแล้ว ได้ส่งผลให้เกิดบรรยากาศความหวาดระแวงแผ่ซ่าน ซึมลึกอยู่ภายในกรุงเยรูซาเล็มมาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อบรรดาชาวยิวบางกลุ่ม บางราย ได้พยายามนำเอาความเชื่อ-ความศรัทธา เข้ามาใช้เป็นตัวปลุกกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจในการสร้างชาติ เช่นการแสดงความปรารถนาที่จะรื้อฟื้น “วิหารแห่งพระเจ้า” หรือ “วิหารครั้งที่ 3” ขึ้นมาใหม่ บนภูเขาโมริอะห์ (Mount Moriah) หรือในบริเวณสถานที่เดียวกันกับสถานที่ตั้งศาสนสถานอันดับ 3 ของชาวอิสลาม คือ “โดมแห่งศิลา” นั่นเอง...

ความหวาดระแวงเหล่านี้...ได้เคยนำไปสู่กรณี “การสังหารหมู่ที่เฮบรอน” (Hebron Massacre) ที่ทำให้ชาวยิวไม่น้อยกว่า 67 รายถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด บาดเจ็บสาหัสอีกนับร้อย บ้านเรือน ทรัพย์สิน ถูกปล้น เผา ทำลาย ในช่วงวันที่ 23 สิงหาคมค.ศ. 1929 ก่อนหน้าที่ประเทศอิสราเอลจะอุบัติขึ้นมาใหม่เอาเลยด้วยซ้ำ และนั่นเองที่ทำให้ชาวอิสราเอลภายใต้การนำของขบวนการไซออนิสต์ ได้เปิดฉากโต้ตอบ แก้แค้น เอาคืน ด้วย “การสังหารหมู่ที่ดีร์ ยาซีน” (Deir Yassin Massacre) เข่นฆ่าเด็ก ผู้หญิง คนชราชาวปาเลสไตน์ ตายไปไม่น้อยกว่า 254 ศพ ชนิดที่ประจักษ์พยานผู้เห็นเหตุการณ์ครั้งนี้ปรากฏต่อสายตา อย่าง “นายฌาค เดอ เรย์เรียร์” (De Reynier J.)แพทย์กาชาดชาวฝรั่งเศส หัวหน้าตัวแทนคณะกรรมการระหว่างประเทศ สภากาชาดเยรูซาเล็ม ถึงกับบรรยายฉากเหตุการณ์ไว้แบบน่าสยดสยองเอามากๆ โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “ชาวยิว...ได้ใช้ทั้งปืน ระเบิด มีดและขวาน ตัดหัวเหยื่อบางคน หักแขนขาเด็ก ต่อหน้าต่อตาของแม่ ผ่าท้องผู้หญิงมีครรภ์ และเชือดเด็กต่อหน้าต่อตาของคนเหล่านั้น...”

ฉากเหตุการณ์เหล่านี้...ได้ฝังลึกลงไปในความรู้สึกของชาวยิวและชาวอาหรับ ชนิดยากซ์ซ์ซ์ที่จะลบล้างออกไปได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากยังพยายามที่จะมอบสิทธิความเป็นเจ้าของมหานครแห่งนี้ไปให้แก่ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง โดยไม่ได้คำนึงถึง “การอยู่ร่วมกันโดยสันติ” ตามมติและตามเจตนาของสหประชาชาติที่มีมาก่อนหน้านั้น ชนิดที่แม้แต่ชาวอเมริกันเชื้อสายยิวอย่างศาสตราจารย์ “ซามูเอล ฮันติงตัน” ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “การปะทะทางอารยธรรม” (The Clash of Civilizations and the Remaking of World Oder) ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือนรัฐบาลอเมริกันเอาไว้ก่อนล่วงหน้าถึง “อันตราย” อันที่มาจากความหวาดระแวงดังกล่าวว่า “เราคงต้องใคร่ครวญหวนคิดอย่างพินิจพิเคราะห์ ว่าเราต้องการที่จะควบคุมโลกอิสลามทั้งมวลเอาไว้หรือไม่ และเราควรจะให้การสนับสนุนต่อนโยบายการขยายตัวของอิสราเอล (Great Israel) รวมทั้งแผนการในการสร้างวิหารครั้งที่ 3 ของชาวยิวขึ้นมาใหม่ ซึ่งเรียกร้องให้ต้องรื้อถอนโดมแห่งศิลา อันอาจทำให้เราต้องตกหลุมพรางแห่งการเผชิญหน้ากับผู้คนที่มีจำนวนปริมาณถึง 1 ใน 5 ของโลกด้วยหรือเปล่า???”

การประกาศรับรองให้นครเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล...มันจึงส่งผลให้โลกร้อนฉ่าขึ้นมาโดยทันที หนักซะยิ่งกว่าการถอนตัวของอเมริกาออกจากข้อตกลงภาวะโลกร้อนไม่รู้กี่เท่า ต่อกี่เท่า คือแม้ว่าการกระทำทั้งสอง จะส่งผลให้โลกทั้งโลกต้องออกมา “โขกหัวอเมริกา” และ “โขกหัวทรัมป์บ้า” กันในระบบเซ็นเซอร์ราวนด์ รอบทิศ รอบทาง แต่กรณีของภาวะโลกร้อนนั้น มันยังไม่ถึงกับร้อนฉ่า ชนิดเลือดนองท้องช้างกันง่ายๆ ต่างไปจากกรณีการรับรองกรุงเยรูซาเล็ม ที่เริ่มทำให้เลือดตก ยางออกกันไปบ้างแล้ว ที่การประท้วงและการปราบปรามการประท้วงค่อยๆ ทะลักออกมาจากฉนวนกาซา ไปยังทั่วทั้งกรุงเยรูซาเล็ม และมีสิทธิที่จะบานปลายขยายตัว ไปสู่ส่วนต่างๆ ของทุกมุมโลก ที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธาต่อศาสนาอิสลามกระจัดกระจายอยู่เกือบครึ่งโลก...

มันจึงแทบไม่ต่างไปจาก “การดึงสลักระเบิด” หรือการ “จุดชนวนระเบิด” ที่อาจนำเอา “สงคราม” ใหญ่-น้อยตามมาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ และย่อมเป็นสิ่งที่ประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา รวมทั้งอิสราเอล น่าจะพอคาดได้ ประเมินได้ถึงผลกระทบที่จะตามมา ไม่ว่าโดยอาศัยระบบข้อมูล ข่าวกรอง เท่าที่มีอยู่ในมือ ก็คงพอรู้ๆ พอเห็นๆ กันอยู่ว่า จะนำไปสู่ฉากเหตุการณ์แบบไหน อย่างไร แต่การตัดสินใจทั้งๆ ที่รู้ว่าอะไรจะตามมา อันนี้นี่แหละ...ยิ่งน่าขนลุกขนพอง น่าสยดสยองยิ่งขึ้นไปใหญ่ เพราะมันหมายถึงการพร้อมที่จะเปิดฉากสงคราม พร้อม “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” โดยไม่คิดลังเลใดๆ อีกต่อไป!!!

ด้วยเหตุนี้...บรรดาเราๆ-ทั่นๆ ชาวไทยแลนด์ แดนสยาม ที่แม้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์ อิสลาม ไม่เคยมีโอกาสแวะเวียนไปยังกรุงเยรูซาเล็มหรือไม่ อย่างไรก็ตาม คงต้องระมัดระวัง ต้องเตรียมตัว เตรียมใจ ไว้ซะแต่เนิ่นๆ เพราะงานนี้...ต้องเรียกว่า แทบไม่ต่างอะไรไปจาก “การส่งสัญญาณ” ว่า “อภิมหาสงคราม” กำลังใกล้เปิดฉากในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล นั่นแล...
กำลังโหลดความคิดเห็น