xs
xsm
sm
md
lg

เยรูซาเลม นครแห่งความหลัง (2)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท *-*

โดนัลด์ ทรัมป์
แม้จะเอา “ช่วงระยะเวลาทางประวัติศาสตร์” เป็นเครื่องวัดตัดสิน แต่ยังไม่ถือเป็น “ความจริง” หรือ “ข้อเท็จจริง” พอที่จะนำไปใช้เป็นเหตุผลรับรอง ให้มหานครเยรูซาเลมต้องกลายเป็น “เมืองหลวง” ของประเทศอิสราเอล อย่างที่ “ทรัมป์บ้า” พยายามนั่งยัน นอนยันไว้ในทวิตเตอร์ของตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย เพราะแม้จะยึดเอาความเก่า ความแก่ ยึดศาสนายูดาห์หรืออาณาจักรอิสราเอลในอดีต ว่ามีมาก่อนศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม แต่ยังหนีไม่พ้นที่จะต้องถูกตั้งคำถามต่อไปว่า แล้วศาสนา หรืออาณาจักรที่มาก่อนหน้า “อาณาจักรอิสราเอล” จะปรากฏตัวขึ้นมาในโฉมหน้าประวัติศาสตร์ จะเอาไปทิ้งไว้ซะที่ไหน...

พูดง่ายๆ ว่า...ก่อนที่ “โมเสส” จะนำพาชาวอิสราเอล 12 เผ่าออกจากอียิปต์ ลุยข้ามทะเลแดงมายังสถานที่อันเป็นที่ตั้งอาณาจักรอิสราเอลและกรุงเยรูซาเลมแห่งนี้ บรรดาชาวโมอับ อัมโมน ฟิลิสเตียน ฯลฯ ที่นับถือศาสนาดั้งเดิม ที่เซ่นไหว้เคารพบูชาเทพเจ้าประจำเผ่า ประจำเมือง ชื่อว่า “เทพเจ้าบาอัล” ก็ได้ยึดครองพื้นที่แห่งนี้ไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว และบรรดาลูกๆ หลานๆ ของชนเผ่าเหล่านี้ก็ยังคงปรากฏตัวให้เห็น โดยเฉพาะแถวๆ ซีกตะวันออกของกรุงเยรูซาเลม อันได้แก่บรรดาชนชาวปาเลสไตน์ทั้งหลายนั่นแล...

ด้วยเหตุนี้...แทนที่จะเสียเวลาไปอ้างประวัติศาสตร์ อ้างความเชื่อใดๆ ก็แล้วแต่ การตัดสินใจของที่ประชุมสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1974 ที่เห็นพ้องต้องกันว่า มหานครแห่งนี้...ไม่ควรถูกนำมาใช้เป็นศูนย์กลาง เป็นเมืองหลวง เพื่อแสดงออกถึงสิทธิความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ของชาติหนึ่งชาติใด ศาสนาหนึ่งศาสนาใด แต่ควรจะเป็นเมืองนานาชาติ เป็นศูนย์กลางแห่งการแสดงออกถึงความสมัครสมานสามัคคี ของผู้ที่มีความแตกต่างทางความเชื่อ ว่าสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยสันติ ซึ่งต้องถือว่าเป็นเหตุผลที่ “เข้าท่า” มิใช่น้อย และเป็นสิ่งที่ผู้นำสูงสุดแห่งศาสนจักรคาทอลิก อย่างพระสันตะปาปา “ฟรานซิส” ท่านได้พยายามนำเอาเหตุผลเหล่านี้ออกมาเตือนสติ “ทรัมป์บ้า” ก่อนที่จะงัดลูกบ้ามาใช้ แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง...
พระสันตะปาปาฟรานซิส
แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่าพระสันตะปาปา เลขาธิการสหประชาติ หรือแม้แต่บรรดาพันธมิตรที่เคยร่วมเคียงบ่า เคียงไหล่ ไม่ว่าซาอุฯ อียิปต์ จอร์แดน ฯลฯ ไปจนถึงประเทศในยุโรปทั้งหลาย กระทั่งอังกฤษที่ถือเป็นพันธมิตรระดับ “แองโกล-อเมริกัน”ด้วยกันก็ตามแต่ ต่างไม่อาจฉุดรั้งความบ้าของ “ทรัมป์บ้า” ได้ด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนถ้าจะถามว่า...แล้วอะไรคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความบ้าเหล่านี้ อันนี้...คงต้องมองกันสามชั้นสี่ชั้น ต้องอาศัย “สติ” เอามากๆ ถึงจะไม่ต้อง “บ้าตาม” การตัดสินใจของประธานาธิบดีอเมริกัน ที่กำลังทำให้โลกทั้งโลกใกล้ “บ้าก็บ้าวะ” เต็มที...

คือการตัดสินใจเช่นนี้...คงหนีไม่พ้นต้องเกี่ยวกับเรื่องของ “ผลประโยชน์” นั่นแหละทั่น เพียงแต่ว่าสิ่งที่ถือเป็น “ผลประโยชน์ของอเมริกา” เอาเข้าจริงๆ แล้ว มันอาจไม่ได้ถึงผลประโยชน์ของประชาชน หรือของอเมริกันชนโดยทั่วไป แต่มักเป็น ผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจ อิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลอเมริกันมาในทุกยุคทุกสมัย ส่วนใหญ่แล้ว...ก็คือบรรดา “ชาวอเมริกันเชื้อสายยิว” ซะเป็นหลัก! หรือบรรดาพวกนายทุนวอลล์สตรีท นายทุนแห่งบรรษัทข้ามชาติทั้งหลาย ที่สามารถหันขวา-หันซ้ายประเทศอเมริกา โดยอาศัยความเป็น “ประชาธิปไตยอันมี Deep State ทรงเป็นพระประมุข” มาโดยตลอดนั่นเอง...

โดยประวัติศาสตร์อเมริกานั้น...ถ้าใครลองศึกษาแบบลึกๆ จริงๆ ไม่ใช่อ่านกันตามตำราโดยทั่วไป คงพอพบเห็นได้ว่านับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งอเมริกา หรือตั้งแต่เริ่มต้นประกาศสงครามเพื่ออิสรภาพ ไปจนถึงช่วงเวลาสำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าสงครามกลางเมือง สงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 หรือแม้แต่สงครามกับผู้ก่อการร้าย ฯลฯ มักต้องมี “ชาวอเมริกันเชื้อสายยิว” เข้าไปเกี่ยวข้องสอดแทรกอยู่ในเหตุการณ์สำคัญๆ เหล่านี้เสมอๆ และการที่รัฐสภาอเมริกันทั้งรัฐสภา ยินยอมพร้อมใจลงมติให้ผ่านกฎหมายที่ เรียกกันว่า “Jerusalem Embassy Act” เพื่อรับรองให้มหานครแห่งนี้เป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอล นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 เป็นต้นมา ย่อมแสดงให้เห็นว่าบทบาท “ชาวอเมริกันเชื้อสายยิว” นั้น มีอำนาจ อิทธิพล ครอบงำการเมืองสหรัฐฯ ได้หนาแน่น กว้างขวาง ลึกซึ้ง ถึงเพียงไหน...

เพียงแต่ว่า...เท่าที่ผ่านมา ประธานาธิบดีอเมริกันแต่ละราย ไม่ว่าจะเป็นบุช เป็นคลินตัน เป็นโอบามา ต่างยังพอตระหนักยังพอคำนึงถึงความรู้สึกของชาวโลก ว่าคง “รับไม่ได้” กับการกระทำเช่นนี้ การอาศัยอำนาจประธานาธิบดีเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายไปเรื่อยๆ จึงแทบกลายเป็นประเพณี เป็นวัตรปฏิบัติของผู้ที่มีโอกาสขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศอเมริกาในแต่ละยุคแต่ละสมัย แต่สำหรับประธานาธิบดีอย่าง “ทรัมป์บ้า” แล้ว ก็น่าจะเป็นไปอย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี “นายซิกมาร์ กาเบรียล”ได้ออกมาสรุปไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นแหละว่า “รัฐบาลอเมริกันทุกวันนี้ ไม่ได้มองโลกแบบเป็นชุมชนชาวโลกอีกต่อไป แต่มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นพื้นที่ที่จะต้องต่อสู้ช่วงชิงความได้เปรียบ เสียเปรียบของแต่ละราย...” ในเมื่อ “ผลประโยชน์ของอเมริกา” (ที่ไม่ได้หมายถึงประชาชนชาวอเมริกัน หรือประเทศอเมริกา แต่หมายถึงผลประโยชน์ของผู้ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลอเมริกัน) ต้อง “มาก่อน” ตามแบบฉบับ “American First” การตัดสินใจประกาศรับรองกรุงเยรูซาเล็มให้เป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอล จึงเป็นเรื่องที่ “ไม่ถึงกับแปลก” มากมายซักเท่าไหร่ แม้ว่าอาจ “บ้า” มิใช่น้อยก็ตาม...

แต่การกระทำเช่นนี้...มันจะนำไปสู่อะไร หรือจะมีอะไรตามมา อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องให้ความสนใจ ต้องคิดๆ กันให้หนักๆ เข้าไว้ ว่ามันจะกลายเป็นการ “ดึงสลักระเบิด” ให้เกิดการระเบิดตูมตามวินาศสันตะโรไปทั่วทั้งตะวันออกกลาง ลุกลามไปยังโลกทั้งโลก อย่างที่ผู้นำตุรกีกล่าวเอาไว้หรือไม่ จะกลายเป็นการ “ประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ” ระหว่างโลกมุสลิมกับอเมริกาและอิสราเอลอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลยหรือเปล่า หรือจะกลายเป็น “การปะทะทางอารยธรรม” (The Clash of Civilizations) อย่างที่อดีตศาสตราจารย์ชาวอเมริกันเชื้อสายยิว “นายซามูเอล ฮันติงตัน” (Samuel P.Huntington) ได้เคยเตือนๆ เอาไว้ก่อนหน้าที่จะวายชนม์ไปเมื่อไม่กี่ปีมานี้ หรือไม่ อย่างไร?? อันนี้...คงต้องไปตามต่ออีกสักวัน...
กำลังโหลดความคิดเห็น