เริ่มต้นสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตบินไปแถวๆ กรุงเยรูซาเลมโน่นเลย แวะไปชมมหานครอันเก่าแก่อายุอานามนับเป็นพันๆ ปีมาแล้ว ว่าเหตุใดหลังจากที่ “ทรัมป์บ้า” ได้งัดลูกบ้าออกมาประกาศรับรองมหานครแห่งนี้ในฐานะ “เมืองหลวง” ของอิสราเอลอย่างเป็นทางการ มันถึงได้ทำให้โลกทั้งโลกร้อนฉ่าขึ้นมาแบบฉับพลันทันที ชนิดใครต่อใครอดไม่ได้ที่จะต้องหันมา “โขกหัว” ประธานาธิบดีอเมริกา ระดับไม่ว่ามะเหงกหรือสากกะเบือบิน ร่อนไป-ร่อนมาในแทบทุกทิศทุกทาง...
คือ “เยรูซาเลม” นั้น...คงต้องถือเป็น “ศูนย์รวมแห่งความเชื่อทางศาสนา” ที่มีความสำคัญเอามากๆ สำหรับศาสนาถึง 3 ศาสนาด้วยกัน คือ ศาสนายูดาห์ของชาวยิวทั้งหลาย ศาสนาคริสต์ที่มีผู้เลื่อมใส-ศรัทธาอยู่ทั่วทั้งโลก และศาสนาอิสลามที่พลโลกไม่น้อยไปกว่า 1 ใน 5 พร้อมจะประกาศตัวเป็นมุสลิมไปด้วยกันทั้งสิ้น คือเป็นที่ตั้งของ “วิหารแห่งพระเจ้า” ของชาวอิสราเอล ที่ถูกสร้างขึ้นมาในยุคพระเจ้า “โซโลมอน” โน่นเลย หรือยุคที่กำลังมีการสร้างชาติ สร้างอาณาจักรอิสราเอลขึ้นมาเป็นครั้งแรกในโฉมหน้าประวัติศาสตร์ แม้วิหารแห่งนี้จะถูกกษัตริย์ “เนบูคัดเนซซาร์”แห่งอาณาจักรบาบิโลน เผาทิ้งจนแทบไม่เหลือซาก แต่บรรดาบรรพบุรุษชาวยิวทั้งหลายก็ยังอุตส่าห์รื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นศูนย์รวมการฟื้นฟูความเป็นชาติให้หวนคืนกลับมา ในยุคที่พระเจ้า “ไซรัสมหาราช” กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย ทรงอนุญาตให้ชาวยิวกลับมาสร้างบ้านแปงเมืองของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง และแม้จะถูกเผาทิ้งไปอีกครั้ง โดยฝีมือของชาวโรมัน ในช่วงปี ค.ศ. 70 หลังจากที่ “พระเยซูคริสต์” สิ้นพระชนม์ลงไปไม่นาน แต่ซากอนุสรณ์ของวิหารที่เป็นแค่กำแพงผุๆ กร่อนๆ ออกอาการพังแหล่มิพังแหล่ ที่ถูกเรียกขานกันในนาม “กำแพงตะวันตก” (Western Wall) หรือ “กำแพงวิปโยค” (Wailing Wall) ก็ยังเป็นตัวดึงดูดให้ชาวยิวทั่วทั้งโลก พร้อมที่จะเดินทางมาเยี่ยมเยียน สวดอ้อนวอนอธิษฐานต่อวิญญาณบรรพบุรุษ ต่อพระผู้เป็นเจ้าแห่งชาวอิสราเอล เพื่อช่วยให้เกิดการฟื้นฟูความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของอาณาจักรอิสราเอลขึ้นมาใหม่ให้จงได้...
ดังที่ “นายเมเนเฮม เบกิน” (Menachem Begin) อดีตนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เคยเขียนบรรยายถึงความรู้สึกของตัวเองไว้ในหนังสือบันทึกความทรงจำ ถึงซากกำแพงแห่งนี้ไว้ด้วยอารมณ์ความรู้สึกแห่งความเป็นชาตินิยม ยิวนิยมแบบเต็มเม็ดเต็มสูบ นั่นแหละว่า... “ก้อนหินเหล่านี้ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย ไม่ได้ร้องโวยวาย แต่ได้กระซิบให้รู้ว่าโบสถ์ของเรา (วิหารแห่งพระเจ้า) เคยตั้งอยู่ ณ ที่นี้ ซึ่งไม่ว่ากษัตริย์ นักปราชญ์ หรือวีรชนของเรา ได้เคยใช้ที่แห่งนี้ประกอบกิจทางศาสนาและอื่นๆ ที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของโบสถ์ เป็นศูนย์รวมประเทศของเรา ซึ่งมีกษัตริย์ นักปราชญ์ และวีรชนอยู่มาก่อนที่อังกฤษจะตั้งตัวขึ้นเป็นชาติซะด้วยซ้ำ...”
แต่สำหรับชาวยิวอย่าง “พระเยซูคริสต์” ที่ไม่ได้ถึงกับให้ความสำคัญต่อความเป็นชาติ หรือความเป็นชาวยิวมากมายสักเท่าไหร่นัก จนทำให้ศาสนาคริสต์กลายเป็นศาสนาสากล ที่ไม่ว่าชาวยิวหรือไม่ใช่ชาวยิว พร้อมที่จะเลื่อมใส-ศรัทธาไปทั่วกันทั้งโลก กรุงเยรูซาเล็มก็ถือเป็นสถานที่สำคัญเอามากๆ ไม่ว่าในฐานะสถานที่แห่งการประสูติ การประกาศศาสนาของพระองค์นับแต่เริ่มแรกและมาโดยตลอด อีกทั้งยังต้องสิ้นพระชนม์เพราะถูกพวกผู้นำศาสนาชาวยิวและผู้ปกครองชาวโรมัน จับพระองค์ไปตรึงกางเขน ณ มหานครแห่งนี้ จนบางครั้งบางคราพวก “ศาสนานิยม” หรือ “คริสต์นิยม” ถึงกับอดรนทนไม่ไหว เมื่อเกิดข่าวลือว่าพวกอิสลามนำเอาสถานประสูติของพระเยซูไปทำเป็นคอกม้า ถึงขั้นต้องยกทัพโยธามาทำสงครามกับจักรวรรดิอิสลาม ยืดเยื้อยาวนานกว่า 200 ปี ที่เรียกๆ กันว่า “สงครามครูเสด” หรือ “สงครามไม้กางเขน”นั่นเอง...
ส่วนศาสนาอิสลามนั้น...โดยตำนานปรัมปราว่ากันว่า ในขณะที่พระศาสดา “นบี มูฮัมหมัด” ได้ประกาศศาสนาอิสลามไปประมาณสิบปีกว่าๆ และกำลังถูกชาวอาหรับเผ่าพันธุ์เดียวกันกดดันให้ต้องหลบหนีจากเมืองเมกกะ ในคืนหนึ่ง “เทวทูตกาเบรียล” ก็ได้เสด็จมาชวนให้พระองค์เดินทางไปเฝ้าพระผู้เป็นเจ้า ด้วยการส่งม้ามหัศจรรย์ที่มีชื่อเรียกตามภาษาอาหรับว่า “อัล-บูรัค” (Al-Buraq) หรือถ้าเรียกเป็นไทยๆ ก็คือ “ม้าสายฟ้าฟาด” นำเอาพระนบีเหาะข้ามน้ำข้ามฟ้ามายัง “มัสยิดอันไกลโพ้น” (The Farthest Mosque) ซึ่งก็เชื่อๆ กันว่า คือสถานที่อันเดียวกันกับที่เป็นที่ตั้ง “วิหารแห่งพระเจ้า” ของชาวยิวทั้งหลาย ไม่ว่าตำนานที่ว่านี้จะน่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ หรือไม่ เพียงใด ก็ตาม แต่ก็ได้ทำให้ผู้นำชาวอิสลามรายหนึ่งผู้มีนามว่า “อับดุล มาลิก บิน มัร์วาน” (Abd al-Malik ibn Marwan) ซึ่งกำลังแข่งขันแย่งชิงอำนาจอยู่กับผู้นำอิสลามที่ยึดครองเมืองเมกกะไว้ได้ ได้ตัดสินใจสร้างศาสนสถานขึ้นมาตามความเชื่อในตำนานเหล่านี้ ณ สถานที่แห่งเดียวกับที่ตั้ง “วิหารแห่งพระเจ้า” ของชาวยิวนั่นเอง เมื่อช่วงระหว่างปี ค.ศ. 685-691 ซึ่งได้รับการเรียกขานในเวลาต่อมา “โดมแห่งศิลา” (The Dome of The Rock) อันได้กลายมาเป็นศาสนสถานสำคัญอันดับ 3 ของบรรดาชาวมุสลิมทั้งหลาย รองจากวิหารกะบะห์ในเมืองมักกะฮ์และศาสนสถานในเมืองเมดินา...
ภายใต้ “ความเชื่อทางศาสนา” ที่หนีไม่พ้นมักต้องถูกนำมาเกี่ยวโยงกับความเป็นชาติ กับเรื่องการมง การเมือง อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้มาโดยตลอดนั่นเอง ที่มันคงไม่อาจอาศัยเพียงแค่ “ลูกบ้า” แบบหยาบๆ ง่ายๆ เข้าไปวัดตัดสินว่า มหานครแห่งนี้ควรเป็น “เมืองหลวง” เป็น “ศูนย์กลาง” ของชาติใด ชาติหนึ่ง ประเทศใด ประเทศหนึ่งที่สามารถเข้าครอง จับจองแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของกันได้ง่ายๆ การประกาศรับรองกรุงเยรูซาเล็ม ในฐานะเมืองหลวงของชาติอิสราเอลและพร้อมจะย้ายสถานทูตอเมริกันจากกรุงเทลอาวีฟ ไปตั้งมั่นอยู่ ณ มหานครแห่งนี้ มันจึงไม่ต่างอะไรไปจากการปลุกกระตุ้นความแตกต่างทางความเชื่อ ให้กลายเป็นความขัดแย้ง ในลักษณะไม่ต่างอะไรไปจากที่ประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” ผู้นำตุรกี ท่านเรียกว่า “การดึงสลักระเบิด” เพื่อให้เกิดการระเบิดครั้งมหาศาลได้ทุกเมื่อ หรือที่ผู้นำขบวนฮามาสของชาวปาเลสไตน์เรียกว่า “การประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ” นั่นเอง ดังนั้น...นับจากนี้อะไรจะเกิดตามมาคงต้องขออนุญาตไปว่ากันต่อวันพรุ่งนี้...