ไหนๆ ก็เตลิดเปิดเปิงออกมานอกเล้า นอกบ้าน ร่วมสัปดาห์เข้าไปแล้ว ปิดท้ายสุดสัปดาห์นี้...เลยคงต้องขออนุญาตหันไปมองโลกทั้งโลก เผื่อพอได้เห็น“ภาพรวม” แบบชัดๆ จะจะขึ้นมามั่ง และเผอิญว่า...เมื่อวันสองวันที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี “นายซิกมาร์ กาเบรียล” (Sigma Gabriel) ท่านได้ออกมาวาดภาพ วาดฉากสถานการณ์ ให้พอเห็นๆ ได้อย่างน่าคิด น่าสนใจเอามากๆ โดยเฉพาะการสรุปแบบชนิด “ฟันธง” เอาไว้ก่อนล่วงหน้าประมาณว่า “ระเบียบโลก” ที่เคยมีมาแต่เดิมๆนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยที่บทบาทในการครอบงำโลกของคุณพ่ออเมริกา กำลังจางหายไป หรือกำลังค่อยๆ กลายเป็นประวัติศาสตร์อย่างช้าๆ!!!
การออกมาพูด มาวาดภาพเอาไว้เช่นนี้...คงไม่ได้ออกไปทางเพื่อเหน็บแนม กล่าวหาโต้ตอบใครต่อใคร แบบการให้สัมภาษณ์กระทบกันไปกระทบกันมา อันเป็นสิ่งปกติธรรมดาในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ แต่เป็นการพูดแบบผ่านการวิเคราะห์ ใคร่ครวญ หวนคิดมาแล้วอย่างดี เพราะเป็นการพูดในเวทีประชุมด้านนโยบายระหว่างประเทศ ที่บรรดานักคิด นักวิเคราะห์ ทั้งหลายจัดขึ้นในกรุงเบอร์ลินในแต่ละปี ที่เรียกกันว่าเวที “Berlin Foreign Policy Forum” หรือเรียกในภาษาเยอรมันว่า “Kober Stiftung” อะไรประมาณนั้น ชนิดอาจถือเป็นถ้อยแถลงถึงนโยบายต่างประเทศของเยอรมนีรวมทั้งบรรดาประเทศในยุโรป ที่จะกำหนดท่าทีต่อโลก และต่อผู้ซึ่งเคยครอบงำโลกทั้งโลก อย่างคุณพ่ออเมริกา นับจากปัจจุบันไปถึงอนาคตเบื้องหน้าเอาเลยก็ว่าได้...
ตามคำพูดของ “นายซิกมาร์ กาเบรียล” ที่ไม่ว่าหนังสือพิมพ์ “Süddeutsche Zeitung” หรือ “Deutsche Welle” รายงานไว้ตรงกัน สรุปเอาไว้ประมาณว่า “ทุกวันนี้...โลกได้กลายเป็นสถานที่ที่ไม่ได้สะดวกสบาย พอที่จะให้ความหวังต่อความรุ่งโรจน์ใดๆ อีกต่อไปแล้ว ไม่มีพื้นที่ใดเลยที่จะสะดวกสบายในการกำหนดแนวนโยบายการเมืองระหว่างประเทศ ไม่ว่าสำหรับเราในฐานะเยอรมนี หรือเราในฐานะยุโรปก็ตามที” ด้วยเหตุเพราะภายใต้อำนาจบริหารของประธานาธิบดีอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” นั้น ได้แสดงให้เห็นชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว หรือความเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้ “ระเบียบโลก” แบบเดิมๆ กำลังค่อยๆ กลายเป็น “ประวัติศาสตร์” ไปในท้ายที่สุดนั่นเอง อีกทั้งจะเป็นตัวส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของเยอรมนีและประเทศยุโรปอย่างรวดเร็ว และอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้...
ในสายตาของรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนีรายนี้มองว่า ประเทศที่มีอำนาจสูงสุดอย่างสหรัฐฯ นั้น...ไม่ได้มองโลกแบบเป็น “ชุมชนโลก” (Global Community) อีกต่อไปแล้ว แต่มองเป็นพื้นที่ที่จะต้องต่อสู้แย่งชิงความได้เปรียบ เสียเปรียบ ของแต่ละรายไปตามทางใครก็ทางมัน และนั่นเองที่ทำให้เยอรมนีและบรรดาประเทศในยุโรปต้องหันมาเข้มงวดในการกำหนดคำนิยามต่อ “ผลประโยชน์” ของตัวเองเสียใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับบรรยากาศความเป็นไปของโลก และผู้เล่นหลักๆ ในแต่ละราย เท่าที่มีอยู่ในโลกใบนี้...
ไม่งั้น...แม้ว่าสหรัฐฯ จะยังคงเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับเยอรมนีและยุโรปก็ตาม แต่ความแตกต่างทางผลประโยชน์ระหว่างวอชิงตันกับยุโรป ก็กำลังปรากฏตัวให้เห็นชัดขึ้นๆ ไม่ว่ากรณีการแซงชั่นรัสเซีย ที่กำลังกลายเป็นแรงกดดันต่อบรรดาบริษัทพลังงานในยุโรป ให้แทบไม่เหลือ “ทางเลือก” ใดๆ อีกต่อไป กรณีการเพิ่มอัตราเสี่ยงให้กับนโยบายการจัดการปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน ที่ “นายกาเบรียล” ถึงกับต้องใช้คำว่า “เป็นการตกลงเจรจาที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา” หลังจากรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ได้หันไป “เบี้ยว” ข้อตกลงที่รัฐบาล “โอมาบ้า” ได้เคยร่วมกับชุมชนระหว่างประเทศกำหนดเอาไว้ก่อนหน้านั้นแบบชนิดดื้อๆ ทื่อๆ และกรณีที่กำลังกลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความปั่นป่วนทั่วทั้งภูมิภาคตะวันกลาง หรือทั่วทั้งโลก นั่นก็คือการที่ “ทรัมป์บ้า” คิดจะตัดสินใจย้ายสถานทูตอเมริกาจากกรุงเทลอาวีฟ ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ที่แทบไม่ต่างไปจากการรับรองว่าพื้นที่แห่งนี้คือ “เมืองหลวงของอิสราเอล” อันอาจส่งผลให้โลกอาหรับที่มีพลเมืองไม่ต่ำกว่า 1 ใน 5 ของโลก ลุกฮือขึ้นมาเผชิญหน้าอเมริกาและพันธมิตรทั้งหลาย ได้แบบฉับพลัน-ทันที...
ด้วยเหตุนี้...รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนีรายนี้ จึงสรุปเอาไว้ว่า เยอรมนีคงไม่อาจปล่อยให้ปฏิกิริยาที่มีต่อนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา เป็นไปแบบเรียบๆ ทื่อๆ อีกต่อไป แต่ต้องเร่งหันมากำหนดสถานะของตัวเองซะใหม่ และโดยเร็วที่สุด ชนิดถึงขั้นว่า “แม้แต่หลังจากที่ทรัมป์ออกไปแล้วจากทำเนียบขาว สัมพันธภาพระหว่างยุโรปกับอเมริกา ย่อมไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว” พูดง่ายๆ ก็คือ...ทุกสิ่งทุกอย่างคงต้องเป็นไปตาม “ทางใครทางมัน” นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปซึ่งคงไม่ได้ต่างไปจากทัศนะของผู้นำเยอรมนี “นางอังเกลา แมร์เคิล” (Angela Merkel) ที่เคยกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านั้น เมื่อช่วงการประชุม G-7 ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ระบุเอาไว้ว่า... “เราชาวยุโรป จะต้องกำหนดชะตากรรมของตัวเราอย่างเป็นจริงเป็นจัง ด้วยมือของเราเอง จริงอยู่...ที่เราเป็นเพื่อนกับสหรัฐฯ เป็นมิตรกับอังกฤษ และด้วยสัมพันธภาพของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี สัมพันธภาพเช่นนี้ก็เป็นไปได้ที่อาจหมายรวมไปถึงรัสเซียและประเทศอื่นๆ (ที่อาจถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับอเมริกาและอังกฤษ) แต่ที่สำคัญก็คือ เราคงต้องรับรู้เอาไว้ว่า เราต้องสู้เพื่ออนาคตของเรา เพื่อกำหนดชะตากรรมของสมาชิกชาวยุโรปทั้งหลาย...”
สรุปสั้นๆ ง่ายๆ อีกที...ว่างานนี้สิ่งที่เรียกว่า “ระเบียบโลก” แบบเดิมๆ แบบที่โลกทั้งโลกอยู่ภายใต้ “ขั้วอำนาจเดียว” อันมีคุณพ่ออเมริกาคือผู้มีอำนาจสูงสุด หรือแบบที่รัสเซียและจีนเรียกขานเอาไว้ในนาม “เผด็จการดอลลาร์” น่าจะ “หมดสภาพ” ลงไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ปัญหาอยู่ที่ว่า “ระเบียบโลก” แบบใหม่ ที่ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม แบบ “หลายขั้วอำนาจ” หรือแบบที่ทุกๆ ประเทศย่อมมีความเท่าเทียมเสมอภาค มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์บนพื้นฐานแห่งความถูกต้อง เป็นธรรม ยุติธรรม จะเริ่มปรากฏตัวออกมาในรูปไหน แบบไหน และเมื่อไหร่...เท่านั้นเอง!!!