เวลา 18.05 น. วันที่ 20 ธันวาคม 2553 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จออก ณ ห้องประชุมชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ รพ.ศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด นำตุลาการศาลปกครองสูงสุด และตุลาการศาลปกครองชั้นต้น ตำแหน่งตุลาการศาลปกครองกลางเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่
ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ได้พระราชทานพระบรมราโชวาท โดยทรงเน้นย้ำให้ทุกคนปฏิบัติตามที่ได้ปฏิญาณไว้ ความว่า..
“ท่านปฏิญาณว่า จะปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาศาลปกครองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ในความตั้งใจ และขอให้ท่านปฏิบัติตามปฏิญาณ ซึ่งอยู่ที่ท่านปฏิญาณว่าจะทำหน้าที่อย่างดีในฐานะผู้พิพากษา และขอให้ท่านได้ทำตรงตามหน้าที่ผู้พิพากษานั้น และให้มีความเรียบร้อยในการคดีทั้งหลาย ที่จะมีขึ้นได้ในอนาคต ขอให้ท่านได้เข้าใจว่า การปฏิญาณนั้นมิใช่ของเล่น เป็นของจริง ถ้าท่านปฏิญาณ ท่านทำกฎหมาย และท่านจะได้ทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติอย่างดี ขอให้ท่านได้สามารถปฏิบัติตามที่ได้ปฏิญาณอย่างนี้แล้ว ท่านจะมีความเจริญรุ่งเรืองด้วย ถ้าปฏิบัติตามที่ท่านพูด แล้วเป็นการปฏิบัติตามคำปฏิญาณนั้น เป็นเรื่องของความดี และท่านจะสามารถปฏิบัติสำเร็จเรียบร้อย คนเราถ้าปฏิบัติตามที่ตั้งใจ ก็จะเจริญรุ่งเรือง
ถ้าท่านไม่สามารถปฏิบัติตามที่ท่านปฏิญาณไว้ ท่านก็ต้องระวังตัว ฉะนั้น ขอให้ท่านสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามที่ท่านได้ปฏิญาณ ท่านก็จะได้แสดงว่า ท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นของท่าน และท่านได้ปฏิบัติเพื่อช่วยให้ผู้ที่ได้เกี่ยวข้องกับท่าน ให้มีความดี ความศักดิ์สิทธิ์และทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองได้ ก็ขอให้ท่านปฏิบัติถูกต้องตามคำปฏิญาณ และสามารถที่จะทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ต้องพูดมากกว่านี้ ขอท่านมีความสำเร็จในหน้าที่ของท่าน”
เวลา 08.00 น. วันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 “ครม.บิ๊กตู่” ได้จัดงานรวมพลังถวายสัตย์ปฏิญาณทั่วประเทศอย่างยิ่งใหญ่เพื่อแสดงความอาลัยน้อมถวายพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศโดย “นายกฯ ตู่” เป็นผู้นำกล่าวคำถวายสัตย์ฯ ดังนี้
“ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอนำประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า และทุกภาคส่วนซึ่งชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ถวายสัตย์ปฏิญาณเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อแสดงความจงรักภักดีและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ปกเกล้าปกกระหม่อม ให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่พสกนิกรชาวไทย อีกทั้งทรงบันดาลให้เกิดการพัฒนาประเทศไทยในทุกด้านตลอดมาเป็นเวลาถึง 70 ปี แม้บัดนี้จะเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่ก็ยังทรงสถิตอยู่ในใจของปวงประชาชาวไทยด้วยความวิปโยคอาลัยอย่างไม่มีวันลืมเลือน
ณ วาระนี้ ซึ่งปกติเคยเปล่งสัจวาจา ถวายพระพรชัยมงคลเสมอมา จึงขอตั้งสัตยาธิษฐานถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นเครื่องบูชาพระมหากรุณาธิคุณแทนด้วยข้อความดังต่อไปนี้
ข้าพระพุทธเจ้า จะซื่อตรงจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ ในพระบรมราชจักรีวงศ์จนกว่าชีวิตจะหาไม่
ข้าพระพุทธเจ้า จะปฏิบัติตามหน้าที่พลเมือง เคารพกฎหมาย รักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งจะร่วมกันปฏิรูปประเทศ และสนับสนุนให้มีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ปกครองประเทศด้วยหลักนิติธรรมและธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์สุขแห่งประชาชนชาวไทย
ข้าพระพุทธเจ้า จะเป็นคนดี มีคุณธรรม ร่วมกันนำพาประเทศชาติไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน สงบสันติสุข จะรู้รักสามัคคีเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชนตลอดไป
ข้าพระพุทธเจ้า ขอปวารณาตัวว่า จะพัฒนาตนเอง เพิ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อเป็นพลังที่ยั่งยืนในการพัฒนาประเทศต่อไป
ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายสัจวาจา ว่าจะประพฤติปฏิบัติตามรอยพระยุคลบาท และศาสตร์ของพระราชาผู้ทรงธรรม น้อมนำพระราชดำรัส ดำเนินตามพระราชกรณียกิจ และเชิญพระราชคุณธรรมจรรยา มาเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์ เพื่อสืบสานพระบรมราชปณิธาน เพื่อความสุข ความเจริญของปวงข้าพระพุทธเจ้า และเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของราชอาณาจักรไทยสืบไป ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ”
ต้องบอกว่า ประชาชนชาวไทยปฏิบัติตาม “รอยพระยุคลบาทในหลวงรัชกาลที่ ๙” ตลอดมา
นักการเมืองข้าราชการใหญ่น้อย โดยเฉพาะ “นายกฯ” และ “ครม.” ทั้งหลายที่มาจากการเลือกตั้งและรัฐประหาร รวมทั้ง “นายกฯ ตู่” และ “ครม.” ล้วนได้ถวายคำสัตย์ฯ ต่อ “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” และล่าสุด “นายกฯ ตู่” ก็นำ “รมต.ใหม่” เข้าถวายคำสัตย์ฯ ต่อ “ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐” แล้ว
ที่ผ่านมา “นักการเมือง” ทั้งจากเลือกตั้งและรัฐประหาร ได้ทำให้คำถวายสัตย์ฯ เป็นเพียง “ลมปาก” ที่ไร้ความจริงใจ-ไร้ค่า-ไร้ความหมาย ฯลฯ และเป็นการบังอาจโกหกคำโตต่อหน้าพระพักตร์ “พระเจ้าแผ่นดิน”
“บิ๊กตู่” และ “ครม.ตู่ 5” จะจริงจังกับคำถวายสัตย์ฯ เพียงใด “คำพูด” จึงมิใช่ “คำตอบ” “ผลงาน” ที่ทำเพื่อชาติและประชาชนต่างหาก คือคำตอบที่แท้จริงครับ...!
ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ได้พระราชทานพระบรมราโชวาท โดยทรงเน้นย้ำให้ทุกคนปฏิบัติตามที่ได้ปฏิญาณไว้ ความว่า..
“ท่านปฏิญาณว่า จะปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาศาลปกครองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ในความตั้งใจ และขอให้ท่านปฏิบัติตามปฏิญาณ ซึ่งอยู่ที่ท่านปฏิญาณว่าจะทำหน้าที่อย่างดีในฐานะผู้พิพากษา และขอให้ท่านได้ทำตรงตามหน้าที่ผู้พิพากษานั้น และให้มีความเรียบร้อยในการคดีทั้งหลาย ที่จะมีขึ้นได้ในอนาคต ขอให้ท่านได้เข้าใจว่า การปฏิญาณนั้นมิใช่ของเล่น เป็นของจริง ถ้าท่านปฏิญาณ ท่านทำกฎหมาย และท่านจะได้ทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติอย่างดี ขอให้ท่านได้สามารถปฏิบัติตามที่ได้ปฏิญาณอย่างนี้แล้ว ท่านจะมีความเจริญรุ่งเรืองด้วย ถ้าปฏิบัติตามที่ท่านพูด แล้วเป็นการปฏิบัติตามคำปฏิญาณนั้น เป็นเรื่องของความดี และท่านจะสามารถปฏิบัติสำเร็จเรียบร้อย คนเราถ้าปฏิบัติตามที่ตั้งใจ ก็จะเจริญรุ่งเรือง
ถ้าท่านไม่สามารถปฏิบัติตามที่ท่านปฏิญาณไว้ ท่านก็ต้องระวังตัว ฉะนั้น ขอให้ท่านสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามที่ท่านได้ปฏิญาณ ท่านก็จะได้แสดงว่า ท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นของท่าน และท่านได้ปฏิบัติเพื่อช่วยให้ผู้ที่ได้เกี่ยวข้องกับท่าน ให้มีความดี ความศักดิ์สิทธิ์และทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองได้ ก็ขอให้ท่านปฏิบัติถูกต้องตามคำปฏิญาณ และสามารถที่จะทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ต้องพูดมากกว่านี้ ขอท่านมีความสำเร็จในหน้าที่ของท่าน”
เวลา 08.00 น. วันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 “ครม.บิ๊กตู่” ได้จัดงานรวมพลังถวายสัตย์ปฏิญาณทั่วประเทศอย่างยิ่งใหญ่เพื่อแสดงความอาลัยน้อมถวายพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศโดย “นายกฯ ตู่” เป็นผู้นำกล่าวคำถวายสัตย์ฯ ดังนี้
“ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอนำประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า และทุกภาคส่วนซึ่งชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ถวายสัตย์ปฏิญาณเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อแสดงความจงรักภักดีและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ปกเกล้าปกกระหม่อม ให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่พสกนิกรชาวไทย อีกทั้งทรงบันดาลให้เกิดการพัฒนาประเทศไทยในทุกด้านตลอดมาเป็นเวลาถึง 70 ปี แม้บัดนี้จะเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่ก็ยังทรงสถิตอยู่ในใจของปวงประชาชาวไทยด้วยความวิปโยคอาลัยอย่างไม่มีวันลืมเลือน
ณ วาระนี้ ซึ่งปกติเคยเปล่งสัจวาจา ถวายพระพรชัยมงคลเสมอมา จึงขอตั้งสัตยาธิษฐานถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นเครื่องบูชาพระมหากรุณาธิคุณแทนด้วยข้อความดังต่อไปนี้
ข้าพระพุทธเจ้า จะซื่อตรงจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ ในพระบรมราชจักรีวงศ์จนกว่าชีวิตจะหาไม่
ข้าพระพุทธเจ้า จะปฏิบัติตามหน้าที่พลเมือง เคารพกฎหมาย รักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งจะร่วมกันปฏิรูปประเทศ และสนับสนุนให้มีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ปกครองประเทศด้วยหลักนิติธรรมและธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์สุขแห่งประชาชนชาวไทย
ข้าพระพุทธเจ้า จะเป็นคนดี มีคุณธรรม ร่วมกันนำพาประเทศชาติไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน สงบสันติสุข จะรู้รักสามัคคีเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชนตลอดไป
ข้าพระพุทธเจ้า ขอปวารณาตัวว่า จะพัฒนาตนเอง เพิ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อเป็นพลังที่ยั่งยืนในการพัฒนาประเทศต่อไป
ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายสัจวาจา ว่าจะประพฤติปฏิบัติตามรอยพระยุคลบาท และศาสตร์ของพระราชาผู้ทรงธรรม น้อมนำพระราชดำรัส ดำเนินตามพระราชกรณียกิจ และเชิญพระราชคุณธรรมจรรยา มาเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์ เพื่อสืบสานพระบรมราชปณิธาน เพื่อความสุข ความเจริญของปวงข้าพระพุทธเจ้า และเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของราชอาณาจักรไทยสืบไป ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ”
ต้องบอกว่า ประชาชนชาวไทยปฏิบัติตาม “รอยพระยุคลบาทในหลวงรัชกาลที่ ๙” ตลอดมา
นักการเมืองข้าราชการใหญ่น้อย โดยเฉพาะ “นายกฯ” และ “ครม.” ทั้งหลายที่มาจากการเลือกตั้งและรัฐประหาร รวมทั้ง “นายกฯ ตู่” และ “ครม.” ล้วนได้ถวายคำสัตย์ฯ ต่อ “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” และล่าสุด “นายกฯ ตู่” ก็นำ “รมต.ใหม่” เข้าถวายคำสัตย์ฯ ต่อ “ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐” แล้ว
ที่ผ่านมา “นักการเมือง” ทั้งจากเลือกตั้งและรัฐประหาร ได้ทำให้คำถวายสัตย์ฯ เป็นเพียง “ลมปาก” ที่ไร้ความจริงใจ-ไร้ค่า-ไร้ความหมาย ฯลฯ และเป็นการบังอาจโกหกคำโตต่อหน้าพระพักตร์ “พระเจ้าแผ่นดิน”
“บิ๊กตู่” และ “ครม.ตู่ 5” จะจริงจังกับคำถวายสัตย์ฯ เพียงใด “คำพูด” จึงมิใช่ “คำตอบ” “ผลงาน” ที่ทำเพื่อชาติและประชาชนต่างหาก คือคำตอบที่แท้จริงครับ...!