ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเป็นผู้นำชาติมหาอำนาจที่มีทางเลือกจำกัดและน้อยลง ในการจัดการปัญหาเกาหลีเหนือซึ่งผู้นำคิม จองอึนไม่ได้มีท่าทียำเกรงคำขู่ หรือคำขาดต่างๆ ที่ได้ฟังมา รวมทั้งสภาวะกดดันจากมาตรการต่างๆ โดยสหรัฐฯ
ผู้นำเกาหลีเหนือไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะรามือจากความต่อเนื่องในโครงการทดลองและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ติดจรวดนำวิถีข้ามทวีป และการทดลองล่าสุดเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เกาหลีเหนือได้แสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถว่าน่ากลัวเพียงใด
จะเป็นการยอมรับหรือไม่ก็ตามในฝ่ายสหรัฐฯ ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ในด้านอาวุธนิวเคลียร์ข้ามทวีปได้ประเมินแล้วเกาหลีเหนือได้เข้าสู่สถานภาพของชาติมหาอำนาจอาวุธนิวเคลียร์เรียบร้อยแล้ว เพราะมีขีปนาวุธสามารถยิงถึงทุกเมืองสำคัญในสหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน คาดกันว่าเกาหลีเหนือสามารถยิงขีปนาวุธได้ถึงเกาะกวมในมหาสมุทรแปซิฟิก บัดนี้ แม้แต่ฝั่งตะวันตก หรือไกลถึงฝั่งตะวันออก รวมทั้งกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวง ก็ไม่รอดพ้นจากอำนาจการทำลายโดยจรวดเกาหลีเหนือ
ก่อนจะถึงวันนี้ เกาหลีเหนือได้ฟังคำขู่เสียงคำรามสารพัดจากทรัมป์ และรัฐมนตรีกลาโหม รวมทั้งท่าทีของทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ แต่ผู้นำเกาหลีเหนือไม่หวั่น ยังเดินหน้าพัฒนา ยกระดับขีดความสามารถของขีปนาวุธ จนถึงขั้นอันตราย
และเป็นระดับที่ทรัมป์จะหมิ่น คิม จองอึน ว่ามีแต่ราคาคุยไม่ได้อีกแล้ว เพราะอยู่ในสภาวะที่ “ไม่รู้จะทำอะไรผู้นำคิมได้” เว้นแต่จะลงมือเล่นงานโจมตีก่อน แต่นั่นหมายถึงสภาวะความเสี่ยงที่ว่าจะมีคนเอเชียหลายแสนคนต้องเสียชีวิต
ชีวิตเหล่านั้นต้องเสียเพื่อแลกกับการที่สหรัฐฯ ทำลายเกาหลีเหนือให้สิ้นซาก!
สหรัฐฯ และผู้นำทหารต่างประเมินถึงสถานการณ์ที่จะทำได้ แต่ที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นแล้วว่านอกจากสงครามเท่านั้นที่จะเป็นมาตรการได้ผลเพื่อหยุดยั้งปัญหาเกาหลีเหนือ แต่ต้องเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ ไม่เหลือช่องทางอื่นอีกแล้ว
การประกาศสงครามเท่ากับว่าทั้ง 2 ฝ่าย “มีอะไรก็ใส่กันให้หมด” เท่ากับว่าเป็นหายนะของมนุษย์ซึ่งไม่มีความสามารถในการเจรจาตกลงกันอย่างสันติภาพได้ นอกจากการใช้อาวุธมหาประลัยเข่นฆ่าล้างผลาญกันจนกว่าฝ่ายใดจะชนะในที่สุด
นั่นก็ไม่ใช่ของง่าย เพราะสหรัฐฯ เองก็เสี่ยงต่อความเสียหาย เมื่อเดาทางผู้นำคิมไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร การพัฒนาอาวุธจนถึงขั้นนี้เท่ากับว่ามีพลังเพียงพอกับการต่อรองกับสหรัฐฯ ได้แล้ว ไม่ได้เป็น “มนุษย์จรวด” หรือเป็น “มนุษย์อ้วนเตี้ย”
หรือล่าสุดวันพุธที่ผ่านมา ทรัมป์เปรียบเทียบเชิงหยันว่าคิมเป็น “หมาน่อยป่วย” แต่ก็เพียงคำเยาะเย้ย ทรัมป์เองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อลักไก่ขู่แล้วคิมไม่กลัว จะหวังพึ่งให้จีนกดดันเกาหลีเหนือก็ทำได้บางระดับ จีนคงไม่ตามใจสหรัฐฯ ทั้งหมด
ล่าสุด ทรัมป์ได้เรียกร้องให้ผู้นำจีนเลิกส่งน้ำมันให้เกาหลีเหนือเด็ดขาด และจะมีมาตรการอื่นๆ เช่นเรียกร้องให้ชาติอื่นๆ ตัดความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ แต่จีนก็จะไม่ทำให้เกาหลีเหนือจนแต้ม เกิดวิกฤตภายในประเทศจนทำให้รัฐบาลคิมล่ม
สิ่งที่จีนไม่ต้องการจะเห็นคือรัฐบาลเกาหลีเหนือล่มแล้วเกิดสภาวะที่ทำให้เกิดการรวมตัวระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้และมีรัฐบาลใหม่ซึ่งอยู่ฝ่ายสหรัฐฯ ซึ่งเท่ากับว่าจีนได้มีเพื่อนบ้านซึ่งเป็นมิตรกับสหรัฐฯ และเผชิญกับการปิดล้อมเข้มแข็ง
ตราบใดที่คนเกาหลีเหนือยังไม่เลือดเข้าตา ทนกับทุกข์เข็ญหรือความเป็นผู้นำเผด็จการของคิมยังได้อยู่ ก็ไม่มีเหตุต้องลุกฮือโดยที่รู้ว่ากองทัพอันแข็งแกร่งของเกาหลีเหนือยังคงจงรักภักดีต่อผู้นำ เพราะที่ผ่านมาก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
เท่ากับว่าตอนนี้ทรัมป์กำลังเผชิญปัญหากับตัวเองว่าจะเอาอย่างไร ทำอย่างไร จึงจะไม่ต้องเดินหน้าเข้าสู่ภาวการณ์ประกาศสงครามแล้วลงมือโจมตีเกาหลีเหนือ ถ้าปล่อยไว้ คิมต้องมองออกว่าสหรัฐฯ ไม่กล้า และจะเดินหน้าพัฒนาอาวุธต่อไป
ถ้าเขี้ยวเล็บเกาหลีเหนือยิ่งเหนือกว่าปัจจุบัน ถึงตอนนั้นใครก็เอาคิมไม่อยู่!
เมื่อยังไร้ทางเลือกอื่น สิ่งที่ทำได้คือวิธีการทูตโดยเรียกร้องให้สหประชาชาติมีบทบาทมากขึ้น ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าองค์กรแห่งนี้ไม่ต่างจากเสือกระดาษที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของสหรัฐฯ ดังนั้นการเรียกให้มีการประชุมเร่งด่วนคณะมนตรีความมั่นคง
และมีพิธีกรรมเหมือนที่เคยทำ คือการผลัดเปลี่ยนกันประณามพฤติกรรมของเกาหลีเหนือโดยตัวแทนของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ซึ่งไม่มีผลกดดันต่อผู้นำคิม และรัฐบาลเกาหลีเหนือ ประเทศอื่นๆ ก็ไม่อยากยุ่งด้วยโดยตรง ไม่อยากเป็นศัตรูกับคิม
การกระทำโดยวิธีการทูตเช่นนี้เป็นเพียงการซื้อเวลา ผู้นำการเมืองและการทหารของสหรัฐฯ ก็ตระหนักดีว่าเป็นทางเลือกที่กำลังนำไปสู่ทางตัน และมีเวลาเหลือน้อยเต็มทนสำหรับทรัมป์ นอกจากสั่งให้มีมาตรการทางทหารเท่านั้น
การกดดันทางทหาร เช่นการซ้อมรบบริเวณนอกฝั่งคาบสมุทรเกาหลี ก็ไร้ผลเพราะได้เคยทำมาแล้ว ถ้าจะยกระดับการซ้อมรบ อาจส่งสัญญาณผิดพลาด กระตุ้นให้เกาหลีเหนือลงมือโจมตีก่อนก็ได้เพราะอ้างว่าสหรัฐฯ และพันธมิตรทำการยั่วยุ
จะเร่งมือกดดันจีนให้กดดันเกาหลีเหนือ ด้วยการเล่นงานสถาบันการเงินและบริษัทการค้าพลังงานของจีนที่ค้าขายกับเกาหลีเหนือก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จะเป็นการผลักดันจีนให้เข้าไปใกล้เกาหลีเหนือมากขึ้นในฐานะเป็นผู้ร่วมหัวอกอันเดียวกัน
ทรัมป์กำลังเจอปัญหา “คิมลองของ” และแก้ไม่ตก ดูแล้วใครก็ช่วยไม่ได้!